blog

ศาสตร์ของความเห็นแก่ตัว

“เห็นแก่ตัว” เป็นคำที่มีพลังทางอารมณ์อย่างมากในภาษาไทย แทบทุกคนมีปฏิกิริยาทันทีเมื่อได้ยิน  บางคนรู้สึกไม่พอใจเพราะมันดูขัดกับคุณค่าความเมตตาและการเสียสละ แต่ในอีกด้าน การเห็นแก่ตัวก็เป็นสัญชาตญาณธรรมชาติที่ฝังอยู่ในทุกชีวิตตั้งแต่การเอาตัวรอดในยุคดึกดำบรรพ์จนถึงการสร้างแรงจูงใจให้มนุษย์พัฒนาสังคมและเทคโนโลยี หากมองผ่านกรอบจิตวิทยาและปรัชญา “ความเห็นแก่ตัว” จึงไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายโดยเนื้อแท้ แต่เป็นพลังที่ต้องทำความเข้าใจ บริหาร และกำกับอย่างมีสติ บทความนี้จึงชวนผู้อ่านสำรวจศาสตร์ของความเห็นแก่ตัวในทั้งสองด้าน เชื่อมโยงกับไปถึงแนวคิดของ พุทธทาสภิกขุ เรื่อง “ละตัวกูของกู” และจบด้วยคำถามท้าทายว่า สุดท้าย เราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไรกับมัน

ความเห็นแก่ตัว: กลไกพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

ในทางชีววิทยาวิวัฒนาการ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการอยู่รอดและขยายพันธุ์ ดังนั้นพฤติกรรมจำนวนมากที่เรามองว่า “เห็นแก่ตัว” เช่น การปกป้องทรัพยากรของตน การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หรือการแสวงหาอำนาจ ล้วนเป็นกลยุทธ์ทางธรรมชาติ นักชีววิทยา Richard Dawkins (1976) อธิบายไว้ในหนังสือ The Selfish Gene ว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติทำให้ยีน “เห็นแก่ตัว” ในแง่ที่มุ่งรักษาการดำรงอยู่ของตน และจากกลไกนี้เอง สิ่งมีชีวิตที่ดู “เสียสละ” ก็มักทำไปเพื่อผลทางอ้อม เช่น ช่วยเครือญาติที่มียีนร่วมกัน

ในเชิงจิตวิทยา Freud มองว่าความต้องการเห็นแก่ตัวคือส่วนหนึ่งของ “id” หรือแรงขับดิบ ที่คอยเรียกร้องความพึงพอใจทันที ส่วน “ego” คือกลไกเหตุผลที่ช่วยควบคุมให้สอดคล้องกับความเป็นจริง และ “superego” คือเสียงศีลธรรม ความสมดุลของทั้งสามส่วนนี้ทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นโดยไม่ล่มสลายทางสังคม

Abraham Maslow ก็ชี้ว่า ความเห็นแก่ตัวบางระดับคือสิ่งจำเป็นต่อการตอบสนอง “ความต้องการขั้นพื้นฐาน” (อาหาร ความปลอดภัย ความรัก การยอมรับ และการบรรลุตนเอง) ถ้าไม่เห็นคุณค่าตนเองเลย เราย่อมไม่สามารถช่วยเหลือใครได้อย่างมีพลัง

ด้านที่ดีของความเห็นแก่ตัว: พลังแห่งการเอาตัวรอดและการเติบโต

แรงขับแห่งชีวิตและความสำเร็จ

มนุษย์ที่รู้จักใส่ใจตนเองย่อมเข้าใจขอบเขตและเป้าหมายชีวิตได้ชัดเจน แนวคิด Self-Determination Theory ของ Deci และ Ryan (2008) ชี้ว่าการเห็นแก่ตัวในแง่ของ “การตระหนักรู้ความต้องการของตน” จะส่งเสริมแรงจูงใจภายใน เมื่อคนได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับคุณค่าของตน เขาจะมีความสุข สร้างสรรค์ และรับผิดชอบมากกว่า

การเห็นแก่ตัวที่สร้างความร่วมมือ

ทฤษฎี Reciprocal Altruism ของ Trivers (1971) อธิบายว่าความร่วมมือเกิดจากการช่วยเหลือที่มีผลตอบแทนทางอ้อม เช่น “วันนี้ฉันช่วย พรุ่งนี้เธอช่วยคืน” ซึ่งถือเป็นการเห็นแก่ตัวเชิงบวก เพราะทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ การอยู่ร่วมแบบนี้ทำให้สังคมมีเสถียรภาพโดยไม่ต้องพึ่งการบังคับ

การเห็นแก่ตัวที่รักษาสุขภาพจิต

ในเชิงสุขภาพจิต การรู้จักปฏิเสธ พักผ่อน หรือปกป้องพลังชีวิตของตน คือการเห็นแก่ตัวเชิงบวกที่เรียกว่า Healthy Self-Interest เพราะช่วยลด burnout และทำให้มีพลังช่วยคนอื่นได้ยาวนานกว่า งานวิจัยของ Brown และ Ryan (2003) พบว่าคนที่มี mindfulness หรือสติรู้ตัวตลอด จะตัดสินใจได้สมดุลระหว่างประโยชน์ตนและผู้อื่น มีความพึงพอใจในชีวิตสูงกว่า

พลังสร้างสรรค์และนวัตกรรม

ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยผู้ที่มีแรงขับส่วนตนสูง เช่น นักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน ผู้ประกอบการ ซึ่งหากขับเคลื่อนด้วยความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ย่อมก่อให้เกิดความก้าวหน้ามหาศาล นักเศรษฐศาสตร์ Adam Smith ใน The Wealth of Nations ก็เสนอว่า “มือที่มองไม่เห็น” ของผลประโยชน์ส่วนตน สามารถสร้างประโยชน์แก่สังคม เมื่ออยู่ในกรอบจริยธรรมและกติกาที่ดี

ด้านลบของความเห็นแก่ตัว: เมื่อการยึดตนกลืนจิตวิญญาณ

โศกนาฏกรรมของทรัพยากรร่วม

Elinor Ostrom (1990) อธิบายว่าหากทุกคนเอาแต่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนตน ทรัพยากรส่วนรวมจะเสื่อมสลาย เช่น การประมงเกินขนาด หรือการปล่อยคาร์บอนโดยไม่รับผิด สิ่งเหล่านี้คือผลลัพธ์ของความเห็นแก่ตัวระดับโครงสร้าง

การหมกมุ่นในตนเอง

แนวโน้ม Narcissism หรือความหลงตัวเอง กำลังเพิ่มขึ้นในยุคสื่อสังคมออนไลน์ คนจำนวนมากผูกคุณค่าตนไว้กับการยอมรับจากภายนอก งานวิจัยของ Twenge และ Campbell (2009) พบว่าคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มคิดถึงตนเองมากขึ้น แต่มีความพึงพอใจระยะยาวลดลง เพราะความสัมพันธ์ผิวเผินและการเปรียบเทียบไม่รู้จบ

การบิดเบือนศีลธรรม

งานวิจัยด้าน Moral Psychology ของ Molly Crockett (2017) แสดงให้เห็นว่าความกดดันทางผลประโยชน์ทำให้สมองส่วน prefrontal cortex ลดกิจกรรม คนจึงตัดสินใจที่กระทบผู้อื่นง่ายขึ้น ความเห็นแก่ตัวที่ขาดสติจึงสามารถทำลายความเป็นมนุษย์ในตัวเรา

การบิดเบือนของ “การให้”

Batson (2011) ชี้ว่าแม้การช่วยเหลือมักให้รางวัลทางอารมณ์ แต่แรงจูงใจที่แท้จริงของ “การให้” ต่างกัน บางคนให้เพื่อภาพลักษณ์ บางคนเพื่อหนีความรู้สึกผิด หากปราศจากความเมตตาจริง การให้ก็ยังคงเป็นการเห็นแก่ตัวรูปแบบหนึ่ง

กลไกทางสมองและสังคม: มนุษย์ไม่ใช่แค่ “เห็นแก่ตัว”

การวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์ในทศวรรษล่าสุดพบว่า สมองของมนุษย์มีระบบตอบสนองต่อความสุขของผู้อื่น Weng et al. (2013) และ Condon et al. (2013) รายงานว่าการฝึก compassion meditation เพียง 2 สัปดาห์ สามารถเปลี่ยนการทำงานของสมองในบริเวณ insula และ ventral striatum ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเอื้อเฟื้อ และเพิ่มพฤติกรรมช่วยเหลือแม้ต่อคนแปลกหน้า

ในระดับสังคม Fehr และ Gächter (2002) ค้นพบพฤติกรรม “altruistic punishment” หรือการลงโทษผู้เอาเปรียบแม้ต้องเสียต้นทุนส่วนตัว ซึ่งแสดงว่ามนุษย์มีแรงขับเพื่อรักษาความยุติธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทนตรง นี่คือสมดุลที่วิวัฒนาการสร้างขึ้นระหว่าง “เห็นแก่ตัว” และ “เห็นแก่ส่วนรวม”

ความเห็นแก่ตัวกับอัตตาในมุมพุทธ

พุทธศาสนาเสนอคำอธิบายเชิงจิตวิญญาณว่า รากของความเห็นแก่ตัวคือ อุปาทานในอัตตา หรือการยึดมั่นว่า “นี่คือตัวกู–ของกู” พุทธทาสภิกขุจึงสอนว่า การละตัวกูของกูไม่ใช่การล้มเลิกความเป็นปัจเจก แต่คือการ “คลายการยึด” ให้เห็นตามจริงว่าทุกสิ่งสัมพันธ์กันและไม่เที่ยง

เหตุใดเราต้องละตัวกูของกู

  • เพราะอัตตาเป็นต้นตอแห่งทุกข์ – เมื่อเรายึดว่า “ฉันต้องได้” “ของฉันต้องอยู่” ความกลัวการสูญเสียจะกัดกินใจตลอดเวลา

  • เพราะโลกเชื่อมโยงกันหมด – พุทธทาสใช้คำว่า “ชีวิตคือความสัมพันธ์อันซับซ้อน” เมื่อเข้าใจว่าเราไม่แยกจากธรรมชาติ การเห็นแก่ตัวจึงไม่มีเหตุผลรองรับ

  • เพราะการละอัตตาคืออิสรภาพ – คนที่เบาในตัวตนไม่ต้องปกป้องภาพลักษณ์หรือแข่งขันไม่รู้จบ จึงเข้าถึงความสงบและเมตตาโดยธรรมชาติ

วิธีฝึกละอัตตาอย่างเป็นรูปธรรม

  • เจริญสติ – รู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดจากความอยากหรือความกลัว สังเกตว่ามันเกิดและดับได้เอง

  • ภาวนาเมตตา – ขยายขอบเขตความห่วงใยจากตนเองไปยังผู้อื่น ฝึกจิตให้อ่อนโยน

  • มองเชื่อมโยง (interbeing) – ตามแนว Thich Nhat Hanh และพุทธทาส คือเห็นว่าความสุขของฉันเกิดได้เพราะผู้อื่นมีส่วนร่วม

  • อยู่กับปัจจุบันและพอประมาณ – ลดแรงขับจากความกลัวอนาคตหรือเสียดายในอดีต

ความเห็นแก่ตัวในยุคใหม่: เมื่อโลกเชื่อมถึงแต่ใจแปลกแยก

ยุคดิจิทัลทำให้เราสื่อสารกันมากกว่าที่เคย แต่ก็เกิด “ภาวะโดดเดี่ยวร่วมสมัย” เพราะข้อมูลและระบบรางวัลจาก social media มักเสริมพฤติกรรม self-promotion และเปรียบเทียบไม่รู้จบ สมองหลั่ง dopamine เมื่อได้รับ like หรือยอดวิว แต่ลดฮอร์โมนความผูกพันอย่าง oxytocin เมื่อถูกเมิน ผลคือเรายิ่งเห็นแก่ตัวในระดับจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว

Jean Twenge (2013) เรียกยุคนี้ว่า “Generation Me” — คนรุ่นที่เติบโตมากับคำสอนให้ “เชื่อในตัวเอง” แต่กลับมีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลสูงขึ้น เพราะขาดความเชื่อมโยงทางใจจริง ๆ นั่นทำให้การกลับมา “ละตัวกูของกู” ตามแนวพุทธทาส ไม่ใช่แค่ประเด็นศีลธรรม แต่คือทักษะเอาตัวรอดในยุคอัตตาล้นโลก

เส้นทางแห่งสมดุล: “ใส่ใจตน” โดยไม่ “ติดตน”

การปฏิเสธความเห็นแก่ตัวอย่างสิ้นเชิงอาจเป็นไปไม่ได้ เพราะการอยู่รอดต้องอาศัยการดูแลตน แต่เราสามารถฝึก เห็นแก่ตัวอย่างมีสติ (Mindful Self-Interest) ซึ่งมีลักษณะดังนี้

  1. รู้ตัวในแรงจูงใจของตน — ถามเสมอว่าทำเพราะอะไร เพื่อใคร และผลกระทบคืออะไร

  2. ถือประโยชน์ตนและประโยชน์ส่วนรวมคู่กัน — หลักพุทธเรียกว่า “อัตตัตถะ–ปรัตถะ” (ประโยชน์ตน–ประโยชน์ผู้อื่น) ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งขาด สังคมย่อมไม่ยั่งยืน

  3. กำหนดขอบเขตที่เมตตา — รู้จักปฏิเสธโดยไม่ทำร้าย ช่วยโดยไม่เสียตน และเคารพความต่างของผู้อื่น

  4. สร้างระบบที่เอื้อต่อการร่วมมือ — เช่น องค์กรที่ให้รางวัลกับการทำงานเป็นทีม นโยบายที่ลดการเอาเปรียบ หรือวัฒนธรรมการให้คุณค่ากับความเห็นอกเห็นใจ

          “ความเห็นแก่ตัว” ไม่ใช่ศัตรูของมนุษย์ หากแต่เป็นครูที่สอนให้เรารู้เท่าทันตนเอง ถ้าเราไม่รู้จักมัน มันจะขับเคลื่อนเราโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเราเข้าใจมัน เราสามารถแปรพลังนั้นเป็นพลังสร้างสรรค์

คำถามสุดท้ายคือ “เราจะใช้ชีวิตแบบเห็นแก่ตัวหรือไม่?”
บางทีคำตอบอาจไม่ใช่ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” แต่คือ “ฉันจะเห็นแก่ตัวอย่างมีสติ”  ใส่ใจตนเองเท่าที่จำเป็น โดยไม่ละเลยผู้อื่น มองโลกด้วยสายตาที่รู้ว่า “ฉัน” และ “เขา” ต่างเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งเดียวกันและเมื่อวันหนึ่ง เราสามารถเห็นโลกโดยไม่ผ่านกรอบ “ตัวกู–ของกู” นั่นอาจเป็นวันที่เราหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัวโดยไม่ต้องพยายามละมันเลย


อ้างอิง

  • Batson, C. D. (2011). Altruism in Humans. Oxford University Press.

  • Brown, K. W., & Ryan, R. M. (2003). The benefits of being present: Mindfulness and its role in psychological well-being. Journal of Personality and Social Psychology, 84(4), 822–848. https://doi.org/10.1037/0022-3514.84.4.822. สรุปและต้นฉบับ: PubMed+1

  • Condon, P., Desbordes, G., Miller, W. B., & DeSteno, D. (2013). Meditation increases compassionate responses to suffering. Psychological Science, 24(10), 2125–2127.

  • Fehr, E., & Gächter, S. (2002). Altruistic punishment in humans. Nature, 415, 137–140. Nature+1

  • Ostrom, E. (1990). Governing the Commons: The Evolution of Institutions for Collective Action. Cambridge University Press. บทสรุป/งานครบรอบ: beyondintractability.org+1

  • Twenge, J. M., & Campbell, W. K. (2009). The Narcissism Epidemic: Living in the Age of Entitlement. Free Press. แหล่งอ้างอิง/ตัวอย่าง: Google Books+2jeantwenge.com+2

  • Weng, H. Y., Fox, A. S., Shackman, A. J., et al. (2013). Compassion training alters altruism and neural responses to suffering. Psychological Science, 24(7), 1171–1180. ฉบับสาธารณะ/สรุป: PMC+2PubMed+2

  • พุทธทาสภิกขุ. (2547). คู่มือมนุษย์. กรุงเทพฯ: ธรรมสภา.

  • พุทธทาสภิกขุ. (2552). ธรรมะกับการละตัวกูของกู. สุราษฎร์ธานี: สวนโมกขพลาราม.

tonypuy

รักเรียนรู้ กู้บ้างพอเป็น drive รักท่วงทำนองดนตรี ครีเอตคอนเทนต์ไปเรื่อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.