blog

กลัวผีแต่ทำไมยังชอบฟังเรื่องผี

ด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมมนุษย์ “กลัวผีแต่ชอบฟังเรื่องผี” เป็นปรากฏการณ์ที่ดูย้อนแย้ง แต่แท้จริงแล้วมีรากทางจิตวิทยาและสังคมหลายประการที่อธิบายได้อย่างมีเหตุผล บทความนี้จะนำเสนอองค์ความรู้ร่วมสมัย พร้อมอ้างอิงงานวิจัยที่เชื่อถือได้ เพื่อไขความลับของ “มนต์เสน่ห์แห่งความกลัว”

ความกลัวและความหลงใหล — พลังดึงดูดของสิ่งลี้ลับ

ตั้งแต่ยุคโบราณ มนุษย์มีเรื่องราว “เหนือธรรมชาติ” (supernatural) ไว้เล่าขานเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม  ไสยศาสตร์ ผี ปีศาจ วิญญาณ ฯลฯ แม้ในยุคที่วิทยาศาสตร์ครองโลก ความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ ไม่เพียงในรูปของความเชื่อส่วนบุคคล แต่ในรูปแบบของสื่อบันเทิง “เรื่องผี” ซีรีส์สยองขวัญ หนัง โปสเตอร์บ้านร้าง ฯลฯ

ทำไมมนุษย์ถึงกลัวผี? และทำไมเรา (บางคน) ถึงยัง “เลือก” ฟังเรื่องผี หนังผี หรือนิทานผี ทั้งที่รู้ว่าอาจทำให้หวาดหวั่น บทความจะสำรวจ 3 กลไกหลักที่ร่วมกันสร้างปรากฏการณ์นี้:

  1. กลไกของความกลัว (fear mechanism)
  2. กลไกของ “ความสุขในความหวาดกลัว” (hedonic attraction to fear)
  3. อิทธิพลทางสังคม-วัฒนธรรมและการรับรู้ที่ผิดพลาด

1. กลไกของความกลัวและความเชื่อในผี

1.1 กลไกการตอบสนองทางประสาทในการกลัว

ความกลัว (fear) เป็นอารมณ์พื้นฐานที่เกิดขึ้นเมื่อสิ่งเร้าถูกตีความว่าเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอด ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น อะมิกดาลา (amygdala) ที่มีบทบาทในการประมวลผลอารมณ์กลัว และส่งสัญญาณให้เกิดการเตรียมพร้อมทางร่างกาย (fight-or-flight) (PMC) ในหลายกรณี ประสาทรับความรู้สึก (sensory inputs) อาจไม่ชัดเจน เช่น เสียงแปลก ๆ, เงา, ลมพัด ฯลฯ เมื่อสมองได้รับข้อมูลที่คลุมเครือ สมองมัก “เติมเต็ม” ช่องว่าง (top-down processing) โดยใช้ประสบการณ์ ความเชื่อ หรือความคาดหวัง — ทำให้บางครั้งเรา “เห็น” หรือ “รู้สึก” ว่า “มีอะไรบางอย่างอยู่” แม้ในความเป็นจริงไม่มี ผีเลย (Frontiers for Young Minds)

งานวิจัยในสาขาจิตวิทยา “anomalistic psychology” ศึกษาประสบการณ์เหนือธรรมชาติ โดยไม่ตั้งสมมติฐานว่ามันมีจริง แต่เน้นอธิบายผ่านความรู้ด้านจิตวิทยา เช่น ความผิดพลาดในการรับรู้ ความลำเอียงของสมอง (cognitive bias) และอิทธิพลของบริบท (วิกิพีเดีย)

1.2 โรคกลัวผี (Phasmophobia) และความผิดปกติทางจิต

ในทางคลินิก ความกลัวผีที่รุนแรงและครอบงำอาจจัดเป็นฟีโนมินา “specific phobia” หรือเฉพาะเจาะจง — บางคนอาจได้รับผลกระทบต่อการนอนหลับ ชีวิตประจำวัน หรือสุขภาพจิต (Verywell Health)

งานวิจัย “Phobia of the Supernatural: A Distinct but Poorly Recognized Disorder” ระบุว่า แม้ความกลัวเหนือธรรมชาติจะยังไม่มีการศึกษาอย่างลึก แต่มีหลักฐานที่ชี้ว่าโครงสร้างสมอง (รวมถึงอะมิกดาลา) มีบทบาทสำคัญในการประมวลผลอารมณ์กลัว และผู้ที่มีอาการมักลังเลที่จะยอมรับเพราะคิดว่าเรื่องผีเป็นเรื่อง “ประหลาด” มากเกินจะพูดถึง (PMC)

จึงกล่าวได้ว่า ความกลัวผีเป็นปรากฏการณ์ที่มี “ฐานทางชีวภาพ” (neurobiological) และ “ฐานทางจิตวิทยา” ที่ฝังลึกในระบบประมวลผลอารมณ์ของมนุษย์

2. ทำไมคนเราถึง “เลือก” ฟังเรื่องผี — เสน่ห์ของความหวาดกลัว

ที่ดูเหมือนเป็นปริศนา  ถ้าเรากลัวแล้วทำไมเรายังอยากเสพมัน?

2.1 ทฤษฎี “ความกลัวที่เพลิดเพลินได้” (Paradox of Horror / Morbid Fascination)

นักวิจัยหลายท่านตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงถูกดึงดูดโดยสิ่งที่น่ากลัว?” (the paradox of horror) งานวิจัย “Fear versus fascination: An exploration of emotional responses to threatening encounters” พบว่า ระหว่างการสัมผัสกับสิ่งที่คุกคาม ผู้คนมีปฏิกิริยาทางอารมณ์หลายด้าน  บางส่วนเกิดความกลัว บางส่วนเกิดความหลงใหล และการ enjoy ความกลัวมักมีความสัมพันธ์แบบ “inverted-U” — กล่าวคือ ถ้ากลัวน้อยเกินไป ไม่ตื่นเต้น แต่ถ้ากลัวมากเกินไปจะเกิดความหวาดหวั่นจนไม่สนุก และจุด “พอดี” คือจุดที่ผู้ฟังรู้สึกได้ทั้งความตื่นเต้นและรู้สึกปลอดภัยควบคู่กัน (PMC)

นอกจากนี้ งานวิจัย “Macabre Fascination and Moral Propriety” พิจารณาว่าเรามีแรงขับให้สนใจสิ่งที่มืดมน มรณะ หรือหายนะ (morbid fascination) เพราะมันช่วยให้เรา “สัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่” และทดสอบข้อจำกัดทางอารมณ์ภายใต้เงื่อนไขที่ปลอดภัย (digitalcommons.risd.edu)

2.2 กลไก “กรอบความปลอดภัย (protective frame)” ในการเสพสื่อสยอง

งานวิจัยของ Johns Hopkins ระบุว่า ผู้ที่ชอบหนังสยองมักมี “กรอบป้องกันทางจิต” (protective frame) อยู่ 3 ประการ:

  1. ความปลอดภัย (safety frame) — รู้ว่า “ฉันปลอดภัย” แม้เหตุการณ์จะน่ากลัว
  2. การแยกออก (detachment) — ตระหนักว่าสิ่งที่เห็นในสื่อเป็นเรื่องสมมติ
  3. การรู้สึกควบคุม (sense of control) — แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง แต่ยังรู้สึกว่าสามารถ “ผ่านมันไปได้”
    เมื่อทั้งสามกรอบอยู่รวมกัน มนุษย์สามารถเพลิดเพลินกับความหวาดกลัวได้โดยไม่ถูกครอบงำด้วยมัน (carey.jhu.edu)

ในบทความ Harvard Business Review ก็สรุปว่า ความสนใจในความน่าสะพรึงเป็นผลมาจากการควบคุมความเสี่ยงในมุมมองของการเสพสื่อ — คนเลือกบริโภคสิ่งที่หวาดกลัวได้ใน “พื้นที่ปลอดภัย” เช่น หนังผี เรื่องเล่าเพื่อนฝูง หรือประสบการณ์เล่นผีในสวนสนุก ฯลฯ (hbr.org)

2.3 บุคลิกภาพ อารมณ์ และลักษณะเฉพาะบุคคล

ไม่ใช่ทุกคนจะชอบเรื่องผี ความแตกต่างระหว่างบุคคลมีบทบาทสำคัญ:

  • Trait Sensation Seeking (ผู้ที่อยากได้ประสบการณ์ตื่นเต้น) มักชอบความหวาดกลัวมากกว่า (bps.org.uk)
  • คนที่ มี empathy สูง อาจรู้สึกไม่สบายกับความรุนแรงหรือภาพที่น่ากลัวมากเกินไป จึงเลือกเลี่ยง
  • ความเชื่อและทัศนคติต่อเรื่องเหนือธรรมชาติ — คนที่เชื่อในผีมากก็มักจะให้ค่าน้ำหนักต่อประสบการณ์หรือเรื่องเล่าเหล่านี้มากกว่าคนที่ปฏิเสธ (Psychology Today)

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ บางคนเลือกฟังเรื่องผี — เพื่อรับความตื่นเต้นโดยที่ไม่ต้องเผชิญผีจริง ๆ — ในขณะที่อีกหลายคนเลือกหลีกเลี่ยง

3. อิทธิพลจากสังคม วัฒนธรรม และการรับรู้ที่ผิดพลาด

3.1 บทบาทของสังคม วัฒนธรรม และระบบความเชื่อ

เรื่องผีและไสยศาสตร์มักถูกถ่ายทอดผ่านวัฒนธรรม ประเพณี และเรื่องเล่าในครอบครัว ซึ่งส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้พันธะทางวัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการสืบทอดความเชื่อ และการยอมรับว่ามี “โลกหลังความตาย”

นอกจากนี้ สื่อ (หนังสยองขวัญ รายการโทรทัศน์ เรื่องเล่าในสังคม) มีบทบาท “ปูทาง” ให้ผู้คนมีความคาดหวังที่จะพบสิ่งเหนือธรรมชาติ เมื่ออยู่ในบริเวณสุ่มเสี่ยง สมองจะ “ค้นหา” สัญญาณที่สอดคล้องกับความคาดหวังนั้น (expectancy effect) (Peterhead Prison)

งานวิจัย “Super-natural fears” พบว่า ความกลัวผีและสิ่งเหนือธรรมชาติมีความสัมพันธ์กับ “representation ทางสังคม” — คือความเชื่อ วัฒนธรรม และสิ่งที่สังคมพูดถึงเรื่องผี มีอิทธิพลต่อการรับรู้ทางจิตใจมากกว่าปัจจัยทางธรรมชาติบางประการ (ScienceDirect)

3.2 ความผิดพลาดทางรับรู้ (Perception errors, Cognitive biases)

เมื่อเผชิญกับข้อมูลที่คลุมเครือ สมองมัก “เติมเต็ม” โดยใช้ความทรงจำ ความคาดหวัง หรืออคติ:

  • Pareidolia — เห็นรูปหน้า หรือวัตถุที่เหมือนมีรูปแบบของสิ่งมีชีวิตในเงามืด
  • Apophenia — มองลวดลายหรือความสัมพันธ์ในสิ่งที่ไม่มีความหมาย
  • Confirmation bias — มองหาหลักฐานสนับสนุนความเชื่อเรื่องผี และละเลยข้อมูลที่ขัดแย้ง
  • Suggestion / Demand characteristics — หากได้รับข้อมูลว่าสถานที่ “มีผี” ผู้คนมักรายงานประสบการณ์ที่สอดคล้องกับการแนะนำ (วิกิพีเดีย)

นอกจากนี้ มีการทดลองในสถาบันนานาชาติที่ให้กลุ่มคนแวะเข้าหอการแสดง โดยบอกว่าหอ “มีผี” กับอีกกลุ่มไม่บอก ผลปรากฏว่าผู้ที่ทราบว่าหอมีผี รายงานประสบการณ์รับรู้ได้ “เหนือธรรมชาติ” มากกว่ากลุ่มที่ไม่ทราบ — นี่ชี้ว่าสภาพแวดล้อมและการเชื่อมโยงทางจิตใจมีผลโดยตรงต่อประสบการณ์เหนือธรรมชาติ (วิกิพีเดีย)

3.3 ความรู้สึกถึงอำนาจ (control) และสถานการณ์ที่ขาดการควบคุม

สถานที่ที่แปลก ความมืด ความเงียบ ความไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร — เป็นเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเกิด “ความรู้สึกขาดการควบคุม” (loss of control) ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความหวาดหวั่นตามวิวัฒนาการมนุษย์ (เพราะมนุษย์วิวัฒนาการมาจากการต้องระวังภัยในสิ่งแวดล้อมที่ไม่รู้จัก) (Academic Studies Press)

ผู้สร้างเรื่องราวสยองขวัญมักเลือกใช้ “องค์ประกอบ creepiness” เช่น สถานที่ถูกทิ้ง ความสลัว อุปสรรคทางสายตา เพื่อกระตุ้นความรู้สึกไม่มั่นคงทางรับรู้และควบคุม (Academic Studies Press)

เมื่อรวมกัน – ความเชื่อ, การรับรู้ที่ผิดพลาด, บรรยากาศที่เอื้อต่อความไม่แน่นอน – ทำให้แม้ไม่มีผีจริง ผู้คนก็อาจ “รู้สึก” พบผี และเลือกเสพเรื่องผีในฐานะประสบการณ์ทางอารมณ์ที่มีสีสัน

สรุปเชิงวิเคราะห์

ปรากฏการณ์ที่มนุษย์กลัวผีแต่ยังเลือกฟังเรื่องผีไม่ได้เป็นเรื่อง “ประหลาด” หรือ “ไร้เหตุผล” หากเรามองผ่านเลนส์ทางจิตวิทยา:

  • ความกลัวผีมีรากจากกลไกพื้นฐานของสมองและอารมณ์
  • แต่ “การเสพความกลัว” อยู่ได้เพราะเราสามารถกำหนดกรอบ (frame) ให้ตัวเองปลอดภัย
  • บุคลิกภาพและความเชื่อมีบทบาทในการตัดสินใจว่าจะเสพหรือหลีกเลี่ยง
  • สังคม วัฒนธรรม และการรับรู้ที่คลุมเครือ คือ “บรรยากาศ” ที่เอื้อให้เรื่องผีมีชีวิตในจิตใจผู้คน

ปรากฏการณ์นี้จึงเป็น “สมดุลระหว่างความหวาดกลัวและการควบคุม” — เราเสพเรื่องผีไม่ใช่เพราะอยากให้ตนเองหวาดหวั่นจนพัง แต่เพราะอยาก “ทดลอง” ความน่าสะพรึงภายใต้การควบคุม — เหมือนเราขับรถเร็วในสนามแข่ง แต่รู้ว่ามีรั้วกั้น เราจึงกล้าทดลองขับแรง


อ้างอิง

  1. Andersen, M. M. et al. Playing With Fear: A Field Study in Recreational Horror (2020) — พบความสัมพันธ์แบบ inverted-U ระหว่างความกลัวกับความเพลิดเพลิน (PMC)
  2. “Phobia of the Supernatural: A Distinct but Poorly Recognized Disorder.” PMC/NCBI — อธิบายบทบาทสมองและความกลัวเหนือธรรมชาติในแง่สุขภาพจิต (PMC)
  3. Yang, H., Zhang, K. “The Psychology Behind Why We Love (or Hate) Horror.” Harvard Business Review — เสนอกรอบ protective frame ในการเพลิดเพลินกับความหวาดกลัว (hbr.org)
  4. “Why do we enjoy horror? Science explains.” Johns Hopkins Carey — วิเคราะห์เงื่อนไขที่อนุญาตให้มนุษย์เสพความหวาดกลัวได้อย่างปลอดภัย (carey.jhu.edu)
  5. BPS (British Psychological Society). “Why do we like to be scared? The psychology of fear” — บทความอธิบายเรื่อง adrenaline, dopamine, personality (bps.org.uk)
  6. งานวิจัย “Super-natural fears” — ชี้บทบาท representation ทางสังคมในการกลัวผี (ScienceDirect)

 

tonypuy

รักเรียนรู้ กู้บ้างพอเป็น drive รักท่วงทำนองดนตรี ครีเอตคอนเทนต์ไปเรื่อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.