ไตร่ตรอง ก่อนตื่นตูม
ไม่เขียนเรื่องนี้ให้เสร็จ คืนนี้ผมนอนไม่หลับจริงๆ มันอึดอัดใจมากกกกกกกก กับเรื่องราวของโลกที่เออล้นไปด้วยข้อมูลอันล้นทะลัก จนบางทีผมก็แทบสำลักข้อมูลตายเหมือนกัน คิดถึงนิทานเรื่อง “กระต่ายตื่นตูม” บางคนมองว่า เจ้ากระต่ายตัวนั้นมันน่าเต๊ะก้นจริงๆ ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ แต่อย่าไปว่ากระต่ายตัวนั้นเลยครับ มองตัวเองก่อนเถอะว่าวิ่งตามกระต่ายมันไปทำไม ทำไมไม่ถามกระต่ายตัวนั้นแล้วจูงมือมันกลับไปดู ว่าไอ้ที่มันวิ่งร้องแหกปากว่าโลกจะแตก จริงๆแล้วกะอีแค่ ลูกมะพร้าวหล่นใส่หัว นึกถึงแล้วก็น่าขำครับ
โลกแห่งข้อมูลข่าวสารที่รวมกันแล้วมีมากกว่าคลื่นสึนามิลูกยักษ์ ที่ถาโถมเราอยู่ทุกวันจากทุกทิศทาง โดยเฉพาะข่าวสารจากสื่ออนไลน์ ทำให้เราชอบที่จะเชื่อไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น รีบเชื่อจนกลายเป็นความตื่นตูม เหมือนกระต่ายตัวนั้น
กรณีศึกษาตัวอย่าง (อันนี้ผมสมมติให้เห็นภาพนะครับ ไม่ได้เจตนาพาดพิงใคร) ข่าวจากนาย กระต่าย ก.โพสต์ผ่าน FB “เมื่อเย็นฟังข่าวจาก…..(อ้างฟรีทีวีช่องหนึ่งน่าเชื่อถือมาก) เขามีนักวิชาการพร้อมกับองค์การ….(เซนเซอร์ ไม่ขอพาดพิง) บอกว่าวันที่ 13 มีค. ปีหน้าดาวเคราะห์จะพุ่งชนโลก แรงระเบิดพุ่งชนเท่านิวเคลียร์ 100 ลูก คนจะตายเป็นล้าน” แค่นี้ก็แรงพอที่จะทำให้พ่อแม่พี่น้องช่วยกันแชร์ข้อความนี้ให้มันกันสนั่นจอ แต่ยังมีนายเต่า ก เขาเป็นคนหนึ่งละที่ไม่แชร์แถมตั้งคำถามว่า “มันจริงหรือ?” ถ้าจริง และมันตกลงบนหลังคาบ้านเขาพอดี เขาก็แค่ตาย(ซึ่งทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้ว) แต่เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิด นายเต่าบอกกับตัวเองว่า “ขอค้นความจริงสักป้าบเถอะ ก่อนตายให้ได้รู้ความจริงทีเถอะ” ผลันปิ๊งแว๊บนึกถึง หลัก การามาสูตรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งตอกย้ำให้นายเต่าอยากรู้ความจริงอย่างแรง นายเต่าลงมือหาคำตอบโดยการสอบถามพี่กู(เกิล) รวบรวมข้อมูลที่ผ่านมา นั่งวิเคราะห์อยู่พักใหญ่ๆก็ได้คำตอบที่ทำให้เขายิ้ม กล่าวคือ ข่าวถูกนำมาพูดแค่บางส่วน หากนำมาเติมให้เต็มก็จะตีความได้ว่า ดาวเคราะห์แค่เฉียดเข้าใกล้โลก ไม่ได้พุ่งชนสะหน่อย แต่นักวิชาการเขาพูดทำนองว่า สันนิษฐานว่าเป็นไปได้หากเข้าใกล้โลกมาก แรงดึงดูดของโลกจะดึงดาวดวงนี้เข้ามา นี้ คือ ข้อสันนิษฐานนะ และนอกจากนี้ นักวิชาการเขาใช้คำว่า “ถ้า” ย้ำนะครับใช้ค่ำว่า “ถ้า” ถ้าดาวเคราะห์พุ่งชนโลกบนบริเวณพื้นดินจะมีโอกาสทำให้คนตายเป็นล้าน แต่ถ้าลงทะเลหรือทะเลทราย เราก็แฮปปี้กันต่อไป และเราคงไม่ต้องไปนั่งเฝ้าส่องกล้องมองดาวดวงนี้ว่าจะชนเมื่อไหร่ เขามีองค์การ…..ดูแลเรื่องนี้ให้อยู่แล้ว เอาเวลาไปทำมาหากินและรับรายงานจากเขาดีกว่า เมื่อความคิดของเต่าถูกทำให้แพร่หลาย ทุกคนต่างสบายใจ และทำให้ต้องมานั่งคิดและพิจารณาด้วยสติปัญญามากขึ้น
จากกรณีศึกษาเบื้องต้นผมจำลองมาจากสถานการณ์จริงๆแจมๆบ้าง มันทำให้ผมกลับมามองถึงสิ่งที่จะทำให้โลกแตก ก่อนโลกแตกจริงๆได้ นั้นก็คือ การอ่อนด้อยด้านการวิเคราะห์ คัดกรองข้อมูล ที่อยู่บนมหาสมุทรแห่งข้อมูลของโลกใบนี้ พูดสั้นๆ คือ จะแตกก็เพราะการลดน้อยถอยลงของสติปัญญาของกระต่าย ก. ที่อยู่บนโลกใบนี้ละครับ อันนี้น่ากลัวกว่าอีก……
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เต่ากับกระต่ายไม่วิ่งแข่งกันแล้ว แต่มาร่วมมือใช้สติปัญญาว่าจะช่วยให้โลกนี้ดีขึ้นเพราะปัญญาของเราได้อย่างไร จะดีกว่าไม ไปสนใจอะไรดาวหางจะพุ่งชนโลก …….อีกไกลนัก
เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองทั้งนั้น