blog

หัวใจของการศึกษาแท้จริงแล้วเพื่อพัฒนาตนหรือเอาชนะใคร

ระบบการศึกษาของไทยโดยทั่วไปมักให้ “ผลการเรียน / คะแนน / การสอบคัดเลือก / ตำแหน่งทางวิชาการ / การเข้าออกมหาวิทยาลัยดี ๆ” เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของผู้เรียน นั่นคือการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย (zero-sum) ที่มุ่งให้ผู้ชนะแลกมาด้วยผู้แพ้ ซึ่งนำมาสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการ เช่น ความเครียด การสูญเสียศักยภาพของผู้ที่ไม่ “ชนะ” และการเน้นการเรียนตามสูตรมากกว่าการพัฒนาตนเองในมิติอื่น ในทางกลับกัน ปรัชญาการศึกษา หากตั้งอยู่บนฐานของการ “พัฒนาตน” (self-development) จะมองการศึกษาไม่ใช่เป็นการแข่งขันเพื่อชนะ แต่เป็นกระบวนการของการเจริญเติบโตภายใน: ด้านความรู้ ด้านคุณธรรม จิตใจ ความสามารถเฉพาะตัว และการมีส่วนร่วมต่อสังคม ในการเชื่อมโยงแนวคิดเชิงปรัชญากับการศึกษาในบริบทไทย ผมจะนำแนวคิดบางส่วนของ ท่านพุทธทาสภิกขุ มาประกอบ เพื่อให้เราได้พิจารณามิติของ “การศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิต” มากกว่า “การศึกษาเพื่อล่าแต้ม”

ปรัชญาการศึกษาและแนวคิดของพุทธทาสภิกขุ

แนวคิดพุทธทาส: การศึกษาภายใน-ภายนอก และ “อัตตา‐อาศัย”

ท่านพุทธทาสได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง การศึกษาภายใน (inner education) และทำนองว่า “ทุกอย่างขึ้นกับจิต” (everything depends on mind)  กล่าวคือ การศึกษาที่แท้จริงมิได้จำกัดอยู่ที่การถ่ายทอดความรู้ภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึงการฝึกจิต ฝึกจิตสำนึก ฝึกคุณธรรม และการทำให้ผู้เรียนได้สำรวจ “อัตตา” (ตัวตน) ในแง่ที่ไม่ยึดติดกับสิ่งภายนอก (ชื่อเสียง คะแนน ฯลฯ) (YouTube) ในการศึกษาปรัชญาการศึกษาของท่าน พุทธทาสมองว่า ระบบการศึกษาปัจจุบันมักเลียนแบบแบบตะวันตกโดยขาดมิติด้านจิตใจและศาสนา ทำให้เกิดการศึกษาแบบ “รู้เพื่อได้” มากกว่าแบบ “รู้เพื่อเป็น” หรือ “รู้เพื่อมีชีวิตดี” (archive.lib.cmu.ac.th) ท่านเสนอให้การศึกษานอกจากการรู้ภายนอกแล้ว ต้องส่งเสริมการฝึกจิต การอยู่ด้วยตนเอง (self-reliance) การเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง และการไม่ยึดติดกับภาระทางอัตตา การมุ่งไปสู่ “ความสงบภายใน” หรือ “จิตที่สงบ” เป็นเป้าหมายหนึ่งของการศึกษาในชีวิต (archive.lib.cmu.ac.th) และโดยรวมแล้วนั้น แนวปรัชญาพุทธทาสเสนอการศึกษาที่ “ครบองค์รวม” (holistic) ไม่แยกแยะระหว่างความรู้และจิตใจ ไม่แยกระหว่างวิชาการกับคุณธรรม

ความหมายเชิงวิพากษ์

  • ถ้าเรายึดติดกับการศึกษาแบบแข่งขัน (คะแนนสูงเป็นตัวชี้วัด) เรามิได้ให้โอกาสผู้เรียนฝึก “ภายใน” ที่สำคัญหลายด้าน เช่น จิตใจ คุณธรรม ความเมตตา ความสุขภายใน
  • ระบบแข่งขันมักส่งเสริมให้ผู้เรียน “ยึดติด” กับชื่อเสียง ค่านิยมภายนอก มากกว่าคำถามว่า “ฉันอยากเป็นใคร” หรือ “ฉันมีคุณค่าอย่างไร”
  • แนวคิดพุทธทาสจึงท้าทายให้เราถามว่า ถ้าระบบการศึกษาไม่ส่งเสริม “การพัฒนาตน” อย่างครบถ้วนแล้ว เราเสียโอกาสในการพัฒนามนุษย์เต็มศักยภาพ

ปัญหาและสถานการณ์ของการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตายในระบบการศึกษา

เมื่อระบบการศึกษารัฐบาลและสังคมมุ่งการแข่งขันเป็นแกนหลัก จะเกิดปัญหาหลายประการ ดังนี้:

(ก) ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

  • รายงาน “สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2567” ชี้ว่าเด็กและเยาวชนจากครัวเรือนยากจน มีแนวโน้มหลุดออกจากระบบการศึกษา (dropout) สูง และเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้ยาก (เช่น โรงเรียนที่ขาดทรัพยากร อาจารย์ คุณภาพต่ำ) (EEF)
  • งานวิจัย “อัตราการคงอยู่และความเหลื่อมล้า ทางการศึกษา” (ฟาริกา กิมชัยวงศ์) พบว่าเด็กจำนวนมากไม่เรียนต่อหรือถอนกลางคัน เนื่องจากเงื่อนไขด้านฐานะครัวเรือน รายได้ คุณลักษณะของผู้ปกครอง และทรัพยากรของโรงเรียน (ห้องสมุด NIDA)
  • งานวิจัย “ผลกระทบของความเหลื่อมลำ้ ต่อการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา” ชี้ให้เห็นว่า โอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ถูกกำหนดโดยปัจจัยเชิงโครงสร้าง (ภูมิภาค ชนบท vs เมือง ทรัพยากรโรงเรียน) (Chula Digital Collections)
  • งาน “เรื่องเล่าความเหลื่อมล้าทางการศึกษา” (S Bunnam) พบว่า ปัจจัยด้านการศึกษา ด้านสังคม และเศรษฐกิจ บิดเบือนโอกาสของเด็กในระบบอย่างซับซ้อน (เช่น เด็กต้องช่วยงานบ้าน ไม่มีเวลาทำการบ้าน ครอบครัวไม่มีทรัพยากรสนับสนุน) (iThesis IR)
  • ในบทความ “ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา: คุณภาพสังคมที่คนไทยมองเห็น” พบว่าสังคมเห็นว่า โอกาสทางการศึกษาไม่เท่ากัน และปัจจัยรายได้และทรัพย์สินเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อโอกาสในการศึกษาของเด็ก (Thai Journal Online)

สังเขป: การให้ค่ากับ “แข่งขันเพื่อคะแนน/คัดเลือก” โดยไม่คำนึงเงื่อนไขพื้นฐานของผู้เรียน ส่งเสริมให้ช่องว่างทางการศึกษาเติบโต ไม่เคารพความตั้งต้นที่แตกต่าง

(ข) ความเครียด / งานเกินพิกัด / ความเป็นมนุษย์ถูกละเลย

  • นักเรียนจำนวนมากประสบปัญหาความเครียด ซึมเศร้า หรือการทำให้สุขภาพจิตปรับตัวไม่ได้ เพราะถูกกดดันให้ “เก่ง” ตามมาตรฐานเดียว
  • ครูและโรงเรียนต้องมุ่งผลิตผลลัพธ์ (คะแนน สถิติ ผู้ผ่าน) มากกว่าการดูแลผู้เรียนเป็นบุคคล
  • ระบบการแข่งขันมักกดให้ผู้เรียน “ตามสูตร” (ท่องจำ เทคนิคสอบ) ไม่ใช่การตั้งคำถาม สร้างนวัตกรรม หรือพัฒนาความคิดอิสระ
  • เมื่อระบบประเมิน (เช่นการสอบกลาง ภาค การสอบมาตรฐาน) กลายเป็น “โทษ” หรือ “บททดสอบสุดท้าย” ผู้เรียนที่มีจุดอ่อนหรือวิธีเรียนแตกต่างมักถูกตัดออก

(ค) ข้อบกพร่องเชิงระบบและสิ่งเบี่ยงเบน (perverse incentives)

  • โรงเรียนที่เน้นผู้เรียนเก่งอาจ “คัดกรอง” รับแต่เด็กที่มีฐานหนุนมาก เพื่อรักษาผลการประเมินของโรงเรียน
  • การให้ “รางวัล / เงิน / สิทธิพิเศษ” แก่โรงเรียนที่มีผลคะแนนสูง อาจทำให้เกิดการเน้นผู้เรียนที่ดีล่วงหน้า และลดการช่วยเหลือผู้เรียนที่อยู่เบื้องหลัง
  • ครูที่ถูกกดดันให้ “สอนให้ผ่านเกณฑ์” อาจสอนตามสูตร (teaching to test) มากกว่าสอนให้เข้าใจลึก
  • ระบบประเมินกลาง เช่น O-NET, PAT-17, GAT-9 วิชาเฉพาะ กำหนดกรอบให้ผู้เรียนต้องเข้าสู่เส้นทาง “สอบ-คัดเลือก” แทนนำไปสู่การเรียนรู้ที่หลากหลาย

ระบบการแข่งขันสุดโต่งจึงบีบบังคับให้การศึกษาเป็น “เกมห้ำหั่นศัตรู” แทนที่จะเป็น “โอกาสแห่งการเติบโต”

มองคุณค่าแห่งความแตกต่าง: การศึกษาเพื่อการพัฒนาตนที่หลากหลาย

ถ้าเราเชื่อว่า “มนุษย์ต่างกัน” — ทั้งทางศักยภาพ ความสนใจ จุดแข็ง จุดอ่อน พื้นฐานชีวิต ระบบการศึกษาควรให้คุณค่าแก่ความต่างเหล่านี้ ไม่ใช่กดให้ทุกคนต้องเดินตามเส้นทางเดียว การศึกษาควรจะเป็นไปในแบบตัดเสื้อเฉพาะคนมิใช่ตัดรวมแบบเหมาโหล

แนวคิดเชิงวิพากษ์: จุดแข็งแตกต่าง

  • ผู้เรียนบางคนอาจถนัดทักษะศิลปะ ดนตรี กีฬา หรือภาษามนุษยศาสตร์ มากกว่าสายคณิตศาสตร์/วิทยาศาสตร์
  • บางคนอาจมีศักยภาพในการเป็นผู้นำ สังคม วิจัย หรือการออกแบบ โอกาสไม่ได้อยู่แค่คะแนนวิชาหลัก
  • การยึดสูตรเดียวทำให้ผู้ที่ไม่ “เก่งตามแบบ” สูญเสียความมั่นใจ ถูกมองว่าสอบ “ไม่ผ่าน” ทั้งที่อาจมีศักยภาพทางอื่น

แนวทาง “พัฒนาตนตามแนวทางตนเอง”

  • ให้ผู้เรียนมีทางเลือกเส้นทางการเรียน (track) ที่หลากหลาย เช่น ทางศิลปะ – สังคม – วิทยาศาสตร์ – เทคโนโลยี – วิชาชีพ – การวิจัย – ความรู้พื้นฐานชีวิต
  • ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) — ผู้เรียนไม่ได้ “จบ” เมื่อจบมัธยม แต่มีเส้นทางพัฒนาต่อ
  • ส่งเสริมความรู้แบบบูรณาการ (integrated learning) ที่เชื่อมศาสตร์หลายด้าน และโครงการที่ผู้เรียนเป็นผู้ตั้งโจทย์
  • บูรณาการการเรียนรู้ทางอารมณ์ จิตใจ คุณธรรม (ชีวิตดี จริยธรรม มีเมตตาต่อผู้อื่น) ไม่แยกจากการเรียนเนื้อหาวิชา
  • ส่งเสริมการเรียนรู้แบบ peer learning / project-based learning / experiential learning ที่ผู้เรียนได้ทำ ได้สะท้อน ได้ออกแบบเอง

โดยส่งเสริมคุณค่าของ “ความแตกต่าง” และการเติบโตภายใน มากกว่าการเปรียบเทียบกับคนอื่นเสมอ

การจัดการศึกษา “แตกต่าง” และระบบประเมินที่สอดคล้อง

การปรับโครงสร้างระบบการศึกษาให้รองรับความต่าง ต้องมีการจัดการในหลายมิติ — โรงเรียน นโยบาย ครู ระบบประเมิน ดังนี้:

การออกแบบระบบโรงเรียนและหลักสูตร

  • โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล / ชุมชนควรมีความยืดหยุ่น — ให้ครูและผู้เรียนมีอิสระในการออกแบบกิจกรรมที่เหมาะกับบริบท
  • ระบบ “โครงการ / เส้นทางเลือก” (elective tracks / majors / concentration) ตั้งแต่มัธยม เพื่อให้ผู้เรียนเลือกตามศักยภาพ
  • ส่งเสริมเครือข่ายโรงเรียน (network schools) ให้แลกเปลี่ยนทรัพยากร ครู ความรู้ร่วม
  • ให้ครูมีบทบาทฝั่ง “การชี้แนะแนวทาง” (mentorship) มากกว่าสอนตามสูตรอย่างเดียว

ระบบประเมินที่ตอบโจทย์ความแตกต่าง

  • ลดน้ำหนักของการสอบเพียงครั้งเดียว (high-stakes test) ให้มีการประเมินหลากหลาย (portfolio assessment, project evaluation, self-assessment, peer review)
  • ใช้การประเมินแบบ รูปแบบตัวบ่งชี้หลายมิติ (multi-dimensional indicators) ไม่ใช่แค่เนื้อหาวิชา แต่รวมทักษะคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ คุณลักษณะผู้เรียน ฯลฯ
  • ประเมินเชิง “เติบโต” (growth) มากกว่า “เทียบกับคนอื่น” (norm-referenced)  ให้ดูว่าผู้เรียนก้าวหน้าได้แค่ไหนจากจุดเริ่มต้นของตนเอง
  • ให้โอกาส “รีประเมิน / ซ้ำ / ปรับปรุง” ไม่ใช่ล้มเหลวครั้งเดียวแล้วจบ
  • ออกแบบการประเมินให้รองรับผู้เรียนที่มีลักษณะแตกต่าง เช่น นักเรียนพิการ เด็กด้อยโอกาส ภาษาแม่ต่างจากภาษาไทย

บทบาทครูและการพัฒนาครู

  • ครูควรเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ให้ความรู้ตามสูตร” เป็น “ผู้ช่วยชี้ทาง / โค้ช / พี่เลี้ยง” ที่มองผู้เรียนเป็นปัจเจก
  • พัฒนาครูให้มีทักษะการวินิจฉัยผู้เรียน ใช้วิธีการเรียนการสอนหลากหลาย
  • ให้ครูมีอิสระในห้องเรียนเพื่อทดลองนวัตกรรม (action research)
  • มีระบบสนับสนุนครู เช่น เวลาพัฒนาวิชาชีพ ทุนทดลองการสอน และระบบแลกเปลี่ยนประสบการณ์

นโยบายระดับชาติ / บริหารการศึกษา

  • ปรับโครงสร้างงบประมาณให้ “ไม่ผูกกับคะแนนสอบ” แต่ผูกกับ “การพัฒนาผู้เรียนทั้งระบบ”
  • มีนโยบายสนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาส (เงิน อุปกรณ์ ครู) อย่างจริงจัง
  • กำหนดนโยบาย “คะแนนไม่ได้ทุกอย่าง” — ประกาศเป้าหมายการศึกษาให้เน้นคุณค่า ความคิดสร้างสรรค์ การอยู่ร่วม
  • ตั้งระบบติดตามประเมินนโยบายโดยอิสระ (educational audit)
  • ส่งเสริมการวิจัยและแนวปฏิบัติที่เน้น “ความแตกต่าง” และ “การเติบโต”

เส้นทางและอุปสรรค (Challenges & Proposals) สู่การศึกษาที่เท่าเทียมและให้ค่ากับความต่าง

อุปสรรคสำคัญ

  1. วัฒนธรรมการแข่งขัน / วิถี “ต้องชนะ” ผู้ปกครอง สังคม ยังกดดันให้เด็ก “สอบให้ได้สูงที่สุด”
  2. การประเมินแบบเดิมฝังรากลึก ระบบสอบกลาง / การคัดเลือก / ตำแหน่งทางวิชาการยังเป็นแกนหลัก
  3. ทรัพยากรไม่เสมอภาค โรงเรียนในชนบท ขาดครูดี อุปกรณ์ เทคโนโลยี
  4. ทักษะครูไม่พร้อมเปลี่ยนบทบาท  ครูหลายคนถูกฝึกมาให้สอนตามสูตร ไม่ได้ฝึกทักษะ “โค้ช / ชี้ทาง”
  5. การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างยาวนาน การเปลี่ยนแปลงนโยบาย การจัดงบประมาณ ระบบการสอบ ต้องใช้เวลา

ข้อเสนอที่หลากหลาย (มิติระบบ / นโยบาย / สังคม)

มิติ ข้อเสนอ หมายเหตุ / ตัวอย่าง
เปลี่ยนทิศทางนโยบายระดับชาติ ประกาศหลักการ “การศึกษาเพื่อชีวิต” (Education for Life) แทน “เพื่อแข่งขัน” ให้การประเมินผลสำเร็จของการศึกษาไม่ใช่แค่อัตราที่สอบติด มหาวิทยาลัย
ปรับวิธีประเมิน ลดน้ำหนักการสอบครั้งเดียว ใช้ portfolio, โครงการ, การประเมินเติบโต อาจเริ่มในระดับมัธยมต้น / รร.นำร่อง
จัดงบประมาณแบบถ่วงสมดุล ให้โรงเรียนด้อยโอกาสได้รับงบพิเศษเพื่อชดเชยช่องว่าง สร้าง “กองทุนพัฒนาโรงเรียนพิเศษ” สำหรับชุมชนห่างไกล
พัฒนาครู จัดให้ครูได้รับฝึกทักษะโค้ชชิ่ง การสอนแตกต่าง และมีเวลาทดลอง ตั้ง “ศูนย์นวัตกรรมการสอน” ระดับเขตพื้นที่
ส่งเสริมนวัตกรรมโรงเรียน โรงเรียนต้องมีอิสระออกแบบหลักสูตรยืดหยุ่น/เลือกทาง โรงเรียนทดลอง “เส้นทางศิลปะ” “เส้นทางชีวิต”
สร้างสภาพแวดล้อมสนับสนุน ให้ผู้ปกครองและสังคมเข้าใจคุณค่า “พัฒนาตน” ไม่ใช่แค่คะแนน สื่อสารผ่านสื่อ ดิจิทัล งานสัมมนา และต้นแบบโรงเรียนดีเด่น
วางระบบติดตามประเมินผล มีหน่วยงานอิสระวัดผล “คุณภาพชีวิตผู้เรียน” ไม่ใช่แค่คะแนน เช่น สำรวจทักษะอาชีพหลังจบ สำรวจความสุข, ความพึงพอใจ
ค่อยเป็นค่อยไปแบบนำร่อง เริ่มที่บางเขต / บางโรงเรียนเป็นต้นแบบ แล้วค่อยขยาย เก็บบทเรียน ปรับปรุงก่อนขยายเป็นนโยบายหลัก

ตัวอย่างแนวปฏิบัติที่มีแนวโน้ม

  • โรงเรียนที่ให้ “เลือกวิชาเลือก / โครงการ / หลักสูตรทางเลือก” เพื่อให้เด็กได้ทดลองตามความถนัด
  • แนวทาง portfolio-based admission (รับเข้ามหาวิทยาลัยโดยดูแฟ้มสะสมผลงาน ไม่ใช่แค่คะแนนสอบ)
  • การเรียนรู้โดยโครงการ / งานจริง (project-based learning) ที่ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมตั้งโจทย์
  • การประเมินโดยใช้ rubrics (เกณฑ์หลายมิติ) แทนข้อสอบเลือกตอบเพียงอย่างเดียว
  • ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนในเมืองและชนบทเพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากร ครู ประสบการณ์

บทสรุป: การศึกษาเพื่อชีวิต ไม่ใช่เพื่อแพ้-ชนะ

การศึกษาในระบบที่มุ่งแข่งกันเป็นผู้ชนะ (win/lose) อาจได้เด็กเก่งคะแนนสูงมาเป็นบรรทัดฐาน แต่ในทางจริยธรรมและประโยชน์ระยะยาว มันอาจเป็นกับดัก  ทำให้หลายคนที่มีศักยภาพอื่น ๆ ถูกตัดออก และทำให้ผู้เรียนหลงติดอยู่กับค่านิยมภายนอก มากกว่ารู้จักตัวเองแนวทางของการให้ค่ากับการพัฒนาตนเอง (ตามแนวพุทธทาส) ชี้ให้เราเห็นว่า เราควรมองผู้เรียนไม่ใช่ผู้สมัครเพื่อ “ชนะ” แต่เป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพหลากหลาย การออกแบบระบบการศึกษาต้องเปิดทางให้ “ความแตกต่าง” ให้ “การเติบโตภายใน” และให้โอกาสแก่ทุกคนแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาทั้งประเทศไม่ง่าย ต้องอาศัยกลยุทธ์หลายชั้น ตั้งแต่เรื่องของนโยบาย ครู โรงเรียน สังคม และจังหวะที่ก้าวเป็นลำดับ  แต่ถ้าเราไม่ตั้งคำถาม ไม่ลองก้าวเดิน เราก็จะวนอยู่ในวัฏจักรเดิม ที่เด็กส่วนหนึ่งได้รับโอกาสมาก เด็กอีกส่วนหนึ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

—————————————————————————————-

บรรณานุกรม (References)

  • Black, P., & Wiliam, D. (2018). Inside the black box: Assessment for learning in the classroom. Phi Delta Kappan.
  • Gardner, H. (2011). Frames of mind: The theory of multiple intelligences. Basic Books.
  • Miller, R. (2019). Education for the human soul: Toward a transformative paradigm for education. Foundation for Educational Renewal.
  • กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2567). รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา พ.ศ. 2567. กรุงเทพฯ: กสศ.
  • กรมสุขภาพจิต. (2565). รายงานสถานการณ์สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นไทย ปี 2565. กรุงเทพฯ: สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์.
  • จุฬารัตน์ พงศ์สุทธิรักษ์. (2559). การศึกษาแนวพุทธกับการพัฒนามนุษย์อย่างยั่งยืน. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา, 9(2), 45–58.
  • ธัญญา วงษ์สุวรรณ. (2566). ครูในฐานะโค้ชเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. วารสารครุศาสตร์, 51(1), 77–94.
  • พุทธทาสภิกขุ. (2533). คู่มือมนุษย์. สุรินทร์: ธรรมสภา.
  • พุทธทาสภิกขุ. (2540). การศึกษาที่แท้จริง. กรุงเทพฯ: ธรรมทานมูลนิธิ.
  • ปิยวัฒน์ วรพงศ์สุรเดช. (2564). การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเพื่อส่งเสริมทักษะศตวรรษที่ 21 ในโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา. วารสารศึกษาศาสตร์ มข., 47(3), 101–120.
  • วศิน สุนทรานนท์. (2565). วัฒนธรรมการแข่งขันในระบบการศึกษาไทย: การศึกษาทางสังคมวิทยา. วารสารวิจัยทางสังคม, 38(2), 25–39.
  • สุริยา ภักดีไพศาล. (2566). ผลกระทบของระบบแข่งขันต่อคุณภาพชีวิตผู้เรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา. วารสารการศึกษาเพื่อพัฒนา, 12(1), 12–28.
  • OECD. (2023). Personalized learning and equity in education. OECD Publishing.

tonypuy

รักเรียนรู้ กู้บ้างพอเป็น drive รักท่วงทำนองดนตรี ครีเอตคอนเทนต์ไปเรื่อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.