เรามิได้เกิดมาเพียงแต่ลำพัง
โลกนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องและอยู่ได้ด้วยความสัมพันธ์ของการมีอยู่
ผมสังเกตเห็นบางอย่างที่น่าสนใจ ในเรื่องของสิ่งต่างๆที่เป็นเหตุเป็นผลกันอยู่ เช่น ฝนตกเกิดจากการระเหยและควบแน่นของน้ำ แดดออกเกิดจากการเดินทาของแสงอาทิตย์ เราปวดหัวเนื่องจากความเครียด คนสำเร็จคือคนที่ยึดวิถีแห่งความสำเร็จเป็นแบบ และคนไม่เอาไหนคือคนที่ยึดแบบความไม่เอาไหนเป็นที่ตั้ง
ทุกอย่างมีเหตุตั้งต้น ผมเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดลอยๆมาแบบไม่มีเหตุผล ตัวเราเป็นในแบบเราทุกวันนี้ก็เพราะเราผ่านการหล่อหลอมในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน เหตุคืออดีตที่เราผ่านประสบการณ์ต่างๆมา และผลคือสิ่งที่เราเลือกตอบสนองต่อเหตุการณ์ในแบบต่างๆ อดีตที่เลวร้าย เราเลือกตอบสนองที่จะจมไปกับมัน ปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรก้าวหน้า เศร้ากันต่อไป แค่หากเราเลือกตอบสนองในทางตรงข้าม ใช้เรื่องเลวร้ายเป็นแรงจูงใจในการผลักดันไปสู่ความสำเร็จได้ ปัจจุบันก็จะพบเห็นเราอีกคนที่ดีกว่าเดิมแน่นอน ผลันผมก็นึกถึงปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อปี 2005ของสตีฟ จ๊อบ ซีอีโอระดับโลกแห่งแอปเปิ้ลที่กล่าวถึง ชีวิตที่เสมือนการลากเส้นต่อจุดจากอดีตมาถึงปัจจุบัน นี้ยิ่งจะเป็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นในการอธิบายความเป็นเหตุเป็นผลในเรื่องการใช้ชีวิตเป็นอย่างดี
ขณะที่เราได้อะไรมา ทำอะไรสักอย่างแล้วประสบความสำเร็จ ท่านเคยนึกย้อนกลับไปไหมว่า กว่าที่เราจะสำเร็จ เราต้องเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ใครช่วยเรามาบ้าง ? หลายคนมักหลงระเริงไปกับความสำเร็จนั้นจนคิดว่า ความสำเร็จเป็นของข้าผู้เดียว ข้าเหนื่อย ข้ายอมแลก ข้าเสียสละหลายสิ่งอย่างเพื่อความสำเร็จนี้ ก็สมควรแล้วที่ข้าจะได้เชยชมกับความสำเร็จแต่ข้าเพียงผู้เดียว……
เราหลงลืมอะไรที่สำคัญจริงๆไปหรือเปล่า ?
หากมอบย้อนกลับไปในความสำเร็จในชีวิต หากเราตั้งใจมองอย่างจริงจัง เราจะพบว่าเราเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่ให้กำเนิดเรามา สั่งสอนเรามา ให้กำลังใจเรามา และบุคคลและสิ่งต่างๆที่เกื้อหนุนให้เราพบกัวความสำเร็จนั้นๆ ผมมั่นใจว่า ไม่ได้มีเพียงแต่เรา เรา และเราที่สร้างความสำเร็จเพียงลำพังได้
ผมเคยตั้งข้อสงสัยในศาสตร์แห่งความสำเร็จที่เขามักสอนต่อๆกันมาว่า ต้องรู้จัก “ขอบคุณ” สิ่งต่างๆที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งของหรือเรื่องเล็กๆน้อยๆ ว่าทำไม ทำไมต้องขอบคุณและเกี่ยวข้องกับความสำเร็จอย่างไร ? จนผมเริ่มนำสิ่งนี้มาปฎิบัติในชีวิตจริง และเกิดผลทางบวกอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
- ขอบคุณ…..พ่อแม่ที่ทำให้ผมเกิดมาและเลี้ยงดูผมเป็นอย่างดี
- ขอบคุณ…..ญาติพี่น้อง ปู่ ย่า ตายายที่คอยสอนสั่งเป้นแบบอย่างให้ผมได้เลือกว่าผมควรจะเป็แบบไหน?
- ขอบคุณ…..ภรรยาและลูกสาวที่ทำให้ผมได้รู้จักความสุขของการให้
- ขอบคุณ…..อาจารย์ที่คอยเขี่ยวเข็น ดุด่าด้วยความรักและสอนให้ผมโลกว่าโลกนอกห้องเรียนมันโหดร้ายกว่าในห้องเรียนเยอะมาก
- ขอบคุณ….เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ที่มีทั้งดี บ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นแบบฝึกหัดให้ผมปรับตัวเพื่อความอยู่รอดได้เป็นอย่างดี
- ขอบคุณ….ความผิดลาดที่ทำให้ผมระมัดระวังมากขึ้น
- ขอบคุณ…คำดูถูกที่ทำให้ผมต้องพัฒนาตนเองให้แจ๋วอยู่เสมอ
- ขอบคุณ….เพื่อนๆทุกคนที่เป็นทั้งกำลังใจ คำแนะนำ ว่ากล่าวแบบไม่เกรงใจเหมือนคำพูดที่ตบหน้าแบบจริงใจไม่มีเสแสร้ง
- ขอบคุณ…งานหนักที่ทำให้เราไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง
- ขอบคุณ….อุปสรรคที่คอยชกหน้าเตือนสติให้เราต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
- ขอบคุณ….ความตายที่ทำให้เราใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทและไม่ใช้เวลาแบบสูญเปล่า
- ขอบคุณ….(อีกมากมายกล่าวได้ไม่หมด)………….
ทุกครั้งเมื่อผมกล่าวคำว่า “ขอบคุณ”ออกไปผมจะรู้สึกได้ว่า ตัวผมจะเล็กลง และรู้สึกอิ่มใจในการทำแบบนั้น แนวคิดที่ลื่นไหลตามมา คือ แนวคิดแบบองค์รวมที่มองว่า เรามิได้อยู่ลำพังบนโลกใบนี้ ทุกอย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กันแบบเครือข่ายที่มองไม่เห็น การกล่าว “ขอบคุณ” คือ การส่งต่อและสานสายสัมพันธ์ดังกล่าวให้เหนียวแน่นมากขึ้น คอยเตือนให้เรารู้ว่าอย่าหยิ่งต่อสิ่งที่สร้างเรามา ส่งผลต่อการลดอัตตาให้น้อยลง และผลที่ตามมา คือ สามารถสร้างโลกนี้ให้อิ่มเอมและน่าอยู่ มีความสุขกันได้อย่างเท่าเทียมได้
เรามิได้เกิดมาเพียงแต่ลำพัง สมควรแล้วที่จะขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างคุณค่าหล่อหลอมและคอยช่วยเหลือเราให้เป็นคนดีๆคนหนึ่ง