พลังเงียบจากครอบครัวสู่ความสำเร็จของการงาน
เวลาที่เราพูดถึงคำว่า เป้าหมาย หลายคนอาจคิดถึงสิ่งที่ต้องการบรรลุในชีวิต เช่น การเลื่อนตำแหน่ง การมีสุขภาพดี หรือการมีรายได้ที่มั่นคง สิ่งเหล่านี้คือ Personal Goal (เป้าหมายส่วนบุคคล) ขณะเดียวกัน หากเราทำงานในองค์กร เป้าหมายองค์กรหรือ Organizational Goal ก็เป็นเสมือนทิศทางร่วมที่ทุกคนต้องก้าวไปด้วยกัน เช่น การเพิ่มผลผลิต การสร้างนวัตกรรม หรือการเติบโตอย่างยั่งยืน
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ระหว่าง เป้าหมายส่วนบุคคล และ เป้าหมายองค์กร ไม่ได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง หากแต่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยมี “ครอบครัว” เป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่มักถูกมองข้าม
เป้าหมายส่วนบุคคลกับเป้าหมายองค์กร: เมื่อชีวิตและงานเดินไปในทิศทางเดียวกัน
งานวิจัยด้านจิตวิทยาการทำงานของ Locke & Latham (2002) เสนอทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย (Goal-Setting Theory) ที่อธิบายว่า หากเป้าหมายส่วนบุคคลสอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร บุคคลจะมีแรงจูงใจสูงขึ้น ทำงานเต็มที่มากขึ้น และรู้สึกพึงพอใจในชีวิตการทำงาน
ในทำนองเดียวกัน Super (1990) ชี้ว่าคนเรามักเชื่อมโยงบทบาทงานเข้ากับเป้าหมายชีวิตส่วนตัว เช่น การทำงานหนักเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพที่ช่วยสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Role Identity หรือ “การผูกโยงอัตลักษณ์ของตนกับบทบาทการทำงาน”
ครอบครัว: แหล่งพลังงานและความมั่นคงทางใจ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายชีวิตส่วนตัวหรือเป้าหมายองค์กร ล้วนต้องการ พลังหนุน ซึ่งแหล่งพลังที่ทรงพลังที่สุดก็คือ ครอบครัว
งานวิจัยของ House et al. (1988) พบว่าการได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว (Social Support) ช่วยลดความเครียด เพิ่มกำลังใจ และเสริมความมั่นใจในการบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคล ในขณะเดียวกัน Greenhaus & Powell (2006) เสนอแนวคิด Work–Family Enrichment ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวทำให้คนมีพลังงาน ความสุข และทักษะที่ส่งต่อไปยังการทำงานได้ เช่น คนที่ได้รับการสนับสนุนจากคู่ชีวิตมักมีสมาธิและมีผลงานดีขึ้น
กล่าวได้ว่า ครอบครัวที่อบอุ่นคือ “ฐานรากทางอารมณ์” ที่ช่วยให้คนกล้าก้าวเดินไปสู่ทั้งเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายองค์กร
ครอบครัวกับองค์กร: ความสัมพันธ์ที่ส่งผลสองทาง
ความอบอุ่นในครอบครัวไม่เพียงส่งผลต่อเป้าหมายส่วนตัว แต่ยังมีผลต่อการทำงานในองค์กรด้วย งานวิจัยของ Wayne et al. (2004) แสดงให้เห็นว่า หากครอบครัวมีความเข้าใจและสนับสนุน จะเกิด Positive Spillover คือพลังบวกที่ล้นออกมาจากชีวิตส่วนตัวและส่งต่อไปยังการทำงาน
ขณะเดียวกัน งานของ Kahn (1990) กล่าวถึง “Psychological Safety” หรือความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยทางใจ ซึ่งครอบครัวมีบทบาทสำคัญ หากบุคคลรู้สึกปลอดภัยจากพื้นฐานครอบครัว ก็จะกล้าแสดงศักยภาพและมีส่วนร่วมในองค์กรมากขึ้น
ภาพรวมความสัมพันธ์
เมื่อเรามองภาพรวม จะพบว่า
Personal Goal → เป็นสิ่งที่บุคคลอยากบรรลุในชีวิต Organizational Goal → เป็นสิ่งที่องค์กรต้องการบรรลุ Family Relationship → คือพลังสนับสนุนที่คอยหล่อเลี้ยงทั้งสองด้าน
หากทั้งสามสิ่งนี้เชื่อมโยงกันอย่างสอดคล้อง จะเกิดสมดุลชีวิต–การทำงาน (Work–Life Balance) และนำไปสู่ความยั่งยืนทั้งในมิติส่วนบุคคลและองค์กร
สรุป
เป้าหมายของชีวิตและงานไม่เคยแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ครอบครัวคือพลังเงียบที่ช่วยหนุนเสริมทั้งสองด้าน ดังนั้น หากองค์กรต้องการพนักงานที่มีประสิทธิภาพ ไม่ควรมองข้ามการสนับสนุนให้บุคคลมีชีวิตครอบครัวที่มั่นคงและอบอุ่น เช่น การมีนโยบาย Work–Life Balance หรือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เคารพชีวิตส่วนตัว เพราะเมื่อบุคคลมีพลังจากครอบครัว ย่อมพร้อมที่จะทุ่มเทให้องค์กร ในขณะเดียวกันก็เติมเต็มเป้าหมายชีวิตของตนเอง
📌 อ้างอิงงานวิจัยสำคัญ
Locke, E. A., & Latham, G. P. (2002). Goal-Setting Theory Super, D. E. (1990). Life-Span, Life-Space Approach House, J. S., Umberson, D., & Landis, K. R. (1988). Social Support Greenhaus, J. H., & Powell, G. N. (2006). Work–Family Enrichment Wayne, J. H., Musisca, N., & Fleeson, W. (2004). Work–Family Spillover Kahn, W. A. (1990). Psychological Safety