blog

นักฟังที่ดีเขาเป็นกันอย่างไร

นักฟังที่ดีเขาเป็นกันอย่างไร

ทุกวันนี้ เราอยู่ในยุคที่เสียงพูดดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ “พื้นที่เงียบเพื่อการฟัง” กลับเล็กลงกว่าเดิมในสังคมที่เต็มไปด้วยโพสต์ คอมเมนต์ และการพูดผ่านหน้าจอ ทุกคนอยากเป็น “ผู้พูดที่ดี”แต่กลับลืมไปว่า “หัวใจของการสื่อสาร” อยู่ที่การฟัง

“การฟังไม่ใช่การรอคิวพูด แต่คือการเข้าใจในสิ่งที่อีกคนพยายามจะบอกเรา”
Stephen Covey (1990)

งานวิจัยด้านการสื่อสารของ Brownell (2012) พบว่า คนทั่วไปใช้เวลาในแต่ละวันไปกับ “การฟัง” มากถึง 45% ของเวลาการสื่อสารทั้งหมด แต่มีเพียงไม่ถึง 2% เท่านั้นที่เคยได้รับการฝึกอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับ “ทักษะการฟัง”
นั่นหมายความว่า เราใช้ “เครื่องมือสำคัญ” ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้วิธีใช้อย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำ

เมื่อไม่มีใครฟัง ความเข้าใจผิด ความโดดเดี่ยว และความรู้สึกว่า “ไม่มีใครเข้าใจฉัน” ก็เกิดขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของ ความเครียด ความสัมพันธ์ที่เปราะบาง และความขัดแย้งในองค์กรและสังคม (Wolvin & Coakley, 1996)

ดังนั้น…
“การฟัง” จึงไม่ใช่เรื่องเล็กหรือแค่เป็นเพียงมารยาทในวงสนทนาอีกต่อไป
แต่มันคือ “ทักษะแห่งการอยู่ร่วมกัน” ที่โลกยุคนี้ต้องการมากที่สุด

ตอนที่ 1 : การฟังมีหลายแบบ…และแต่ละแบบบอกนิสัยของเรา

การฟังไม่เหมือนกันในทุกคน เพราะแต่ละคนฟังด้วย “แรงจูงใจ” ต่างกัน บางคนฟังเพื่อโต้แย้ง บางคนฟังเพื่อปลอบใจ และบางคนฟังเพื่อเข้าใจจริง ๆ

🎧 1. การฟังแบบผิวเผิน (Passive Listening)

คือการฟังที่ “แค่ได้ยินเสียง” แต่ไม่ได้ใส่ใจเนื้อหา มักเกิดเมื่อเราทำหลายอย่างพร้อมกัน เช่น ฟังคนพูดไป ดูมือถือไป หรือคิดเรื่องอื่นอยู่ในหัว ผลคือเรารับข้อมูลเพียงบางส่วน และมักเข้าใจผิดในรายละเอียด

🎯 2. การฟังแบบเลือกฟัง (Selective Listening)

คือการฟังเฉพาะสิ่งที่เรา “อยากฟัง” เช่น ฟังเฉพาะประโยคที่ตรงใจ หรือสอดคล้องกับความคิดของเราเอง
งานวิจัยของ Scherer (2003) ชี้ว่า คนที่มีความเครียดสูงหรือมีอคติต่อบางเรื่อง มักเลือกฟังเฉพาะข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อของตนเอง (confirmation bias)

⚔️ 3. การฟังแบบป้องกันตัว (Defensive Listening)

คือการฟังเพื่อโต้ตอบทันที มักเกิดในสถานการณ์ขัดแย้ง เช่น เวลาถูกตำหนิ เราจะ “เปิดโหมดป้องกัน” และไม่ได้ฟังเนื้อหาที่แท้จริงของอีกฝ่าย

💡 4. การฟังแบบมีส่วนร่วม (Active Listening)

คือการฟังอย่างตั้งใจ โดยใช้ทั้ง “หู ตา สมอง และใจ” พร้อมกัน
ผู้ฟังตั้งใจจับทั้งถ้อยคำ น้ำเสียง สีหน้า และภาษากาย พร้อมส่งสัญญาณให้ผู้พูดรู้ว่า “เรากำลังฟังอยู่” เช่น พยักหน้า ทวนประโยค หรือถามต่อ

❤️ 5. การฟังด้วยความเข้าใจ (Empathic Listening)

คือระดับสูงสุดของการฟัง
ผู้ฟังพยายามเข้าใจ “ความรู้สึกเบื้องหลังคำพูด” มากกว่าเนื้อหาที่พูดออกมา
Carl Rogers (1957) บิดาแห่งจิตบำบัดเชิงมนุษยนิยม กล่าวว่า

“เมื่อมนุษย์ได้รับการฟังอย่างแท้จริง เขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้”

ตอนที่ 2 : ฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Listening)

การฟังอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้หมายถึงการเงียบ แต่มันคือ “ศิลปะของการจดจ่อ เข้าใจ และตอบสนองอย่างมีสติ”

✅ หลัก 3C ของการฟังที่ดี

  1. Concentration (จดจ่อ) – ปิดสิ่งรบกวน เช่น โทรศัพท์ หรือความคิดในหัว เพื่อให้สมาธิอยู่กับคู่สนทนา

  2. Comprehension (เข้าใจ) – พยายามตีความหมายจากถ้อยคำ น้ำเสียง และอารมณ์รวมกัน

  3. Compassion (เมตตา) – ฟังโดยไม่ตัดสิน เปิดใจให้กว้าง แม้เราจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

เทคนิค “RASA” ของ Julian Treasure (TED Talk, 2011)

เป็นเทคนิคจำง่ายเพื่อฝึกการฟังเชิงลึก

  • Receive – รับฟังด้วยใจเปิด

  • Appreciate – แสดงออกว่ากำลังฟัง เช่น พยักหน้า หรือพูดสั้น ๆ ว่า “อืม”, “เข้าใจ”

  • Summarize – ทวนสิ่งที่เข้าใจ เพื่อเช็คความถูกต้อง

  • Ask – ถามต่ออย่างสุภาพเพื่อเข้าใจมากขึ้น

งานวิจัยของ Bodie (2011) ยืนยันว่า การฟังแบบ Active-Empathic Listening ช่วยเพิ่มความไว้วางใจ ความสัมพันธ์ในทีม และลดความเครียดได้จริง

ตอนที่ 3 : ฟังด้วยหัวใจ (Deep Listening)

การฟังด้วยหัวใจ คือการ “อยู่กับอีกคนโดยไม่ต้องแก้ไขเขา”
ไม่รีบให้คำแนะนำ ไม่รีบสรุปแทน แต่ให้พื้นที่ปลอดภัยทางใจ

“Sometimes the most loving thing you can do is to just listen.”

ในเชิงจิตวิทยา สมองของคนเรามีระบบ mirror neurons — เซลล์ประสาทที่สะท้อนอารมณ์ของคนตรงหน้า
เมื่อเราฟังใครด้วยความเห็นอกเห็นใจ สมองของเราจะ “จำลอง” ความรู้สึกของเขา ทำให้เราเข้าใจอารมณ์นั้นโดยไม่ต้องผ่านคำพูด (Siegel, 2007)

นอกจากนี้ Coan et al. (2006) พบว่า เมื่อคนรู้สึกว่ามีใคร “อยู่ตรงนั้นและฟังจริง ๆ” สมองส่วน amygdala (ที่ควบคุมความกลัวและความเครียด) จะสงบลงในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งหมายความว่า “การฟังด้วยใจ” มีพลังเยียวยาจิตใจได้จริง

ตอนที่ 4 : ฝึกเป็นนักฟังที่ดีใน 7 วัน 21 วัน และตลอดกาล

🗓 ระยะ 7 วันแรก – “หยุดพูด เพื่อเริ่มฟัง”

  • วันที่ 1: ลองตั้งใจฟังคนใกล้ตัว 1 คน โดยไม่ขัดเลยแม้แต่นาทีเดียว

  • วันที่ 2: เมื่อฟังเสร็จ ให้ทวนสิ่งที่เขาพูด เช่น “เธอหมายถึงว่า…”

  • วันที่ 3: ฟังข่าว เพลง หรือพอดแคสต์ แล้วสังเกตอารมณ์ของผู้พูด

  • วันที่ 4: พูดให้น้อยลง 30% ในทุกบทสนทนา

  • วันที่ 5: ฟังเสียงรอบตัว — เสียงลม เสียงนก เสียงหัวใจตัวเอง

  • วันที่ 6: ฟังคนที่เห็นต่าง โดยไม่รีบโต้แย้ง

  • วันที่ 7: เขียน reflection “สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการฟังคนอื่น”

🌱 ระยะ 21 วัน – “ฝึกฟังอย่างมีสติ”

  • ใช้เทคนิค “Pause–Breathe–Listen” ก่อนเริ่มสนทนา

  • ฟังด้วย “ใจว่าง” ปล่อยอคติและความคิดแทรก

  • เขียน journal สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทสนทนาแต่ละวัน

  • ขอ feedback จากเพื่อนหรือคู่สนทนา ว่าเราฟังดีขึ้นหรือยัง

🌳 ระยะตลอดกาล – “เปลี่ยนการฟังให้เป็นวิถีชีวิต”

  • ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ในทุกความสัมพันธ์

  • ใช้การฟังเพื่อเชื่อมใจ มากกว่าเพื่อเอาชนะ

  • ฟังเสียงในใจตัวเองเมื่อเงียบ

  • ยอมรับว่า “บางครั้งการฟังคือการให้มากที่สุดที่เราจะให้ได้”

งานวิจัยของ Kiken et al. (2015) พบว่า ผู้ที่ฝึก Mindful Listening ต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ มีคะแนน “ความเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น (Empathic Accuracy)” สูงขึ้นเฉลี่ย 28% และมีระดับความเครียดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ตอนที่ 5 : ฟังเพื่อชีวิตที่เบิกบาน

การฟังไม่ได้ทำให้เราเป็นเพียง “คนเข้าใจผู้อื่น” แต่ยังทำให้เรา “เข้าใจตัวเอง”
เมื่อเราฝึกฟังคนอื่นได้ดี เราจะเริ่มฟังเสียงในใจตัวเองด้วยความอ่อนโยน
เสียงของความเหนื่อย เสียงของความต้องการ หรือแม้แต่เสียงของความกลัว —
ทั้งหมดนั้นรอให้เรา “ฟังอย่างไม่ตัดสิน”

ในองค์กรหรือครอบครัวที่มีวัฒนธรรมการฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ พบว่า

  • ระดับความพึงพอใจในทีมสูงขึ้น 40%

  • อัตราความขัดแยกลดลง 34%
    (Goleman, 2018 – Social Intelligence)

บทสรุป : ฟังด้วยใจ เพื่อเข้าใจชีวิต

ในโลกที่ทุกคนอยากพูดออกไป การฟังกลับเป็นสิ่งที่หายากที่สุด
แต่แท้จริงแล้ว “การฟัง” คือของขวัญที่ไม่ต้องซื้อ และมีค่ามากที่สุดสำหรับหัวใจของมนุษย์

นักฟังที่ดีไม่ใช่คนที่เงียบเสมอไป
แต่คือคนที่ฟังด้วย “ความเข้าใจ ความเมตตา และความตั้งใจจริง”

“The quieter you become, the more you are able to hear.”
Ram Dass


🔖 บรรณานุกรม (References)

  • Bodie, G. D. (2011). The Active-Empathic Listening Scale (AELS). Communication Quarterly, 59(3), 277–295.

  • Brownell, J. (2012). Listening: Attitudes, Principles, and Skills (5th ed.). Boston: Pearson.

  • Carl Rogers & Farson, R. (1957). Active Listening. Industrial Relations Center, University of Chicago.

  • Coan, J. A., Schaefer, H. S., & Davidson, R. J. (2006). Lending a hand: Social regulation of the neural response to threat. Psychological Science, 17(12), 1032–1039.

  • Goleman, D. (2018). Social Intelligence: The New Science of Human Relationships. Bantam Books.

  • Kiken, L. G., et al. (2015). From mindfulness to listening: Mindfulness training enhances communication quality. Journal of Positive Psychology, 10(5), 404–414.

  • Scherer, K. R. (2003). Vocal communication of emotion. Speech Communication, 40(1–2), 227–256.

  • Siegel, D. J. (2007). The Mindful Brain: Reflection and Attunement in the Cultivation of Well-Being. W. W. Norton & Company.

  • Wolvin, A. D., & Coakley, C. G. (1996). Listening. McGraw-Hill.

tonypuy

รักเรียนรู้ กู้บ้างพอเป็น drive รักท่วงทำนองดนตรี ครีเอตคอนเทนต์ไปเรื่อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.