สิ่งที่เรามองเห็น : บทเรียนจากมุมมองที่มีค่าของท่านประธานเค่งฮั้ว
ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้น สุดท้ายแล้วเราก็มาวัดกันตรงที่ว่า “เราเห็นอะไร?” ไม่ใช่ว่า “มันเป็นอะไร?”
ได้มีโอการรับฟังเรื่องราวดีๆ ของคนก่ออิฐสองคนที่ถูกถามคำถามเดียวกันว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่?” คนแรกตอบว่า “กำลังก่ออิฐไง ไม่เห็นหรือ?” เขาทำหน้าแบบรำคาญๆแล้วเบือนหน้าไปก่ออิฐอย่างไม่มีความสุขต่อไป แต่อีกคนกลับตอบว่า “เรากำลังสร้างปราสาทที่งดงาม ผู้คนจะพากันมาใช้ประโยชน์และชื่นชมปราสาทนี้อย่างมีความสุข” เขาพูดไปทำไปอมยิ้มไป อย่างมีความสุข เรื่องเล่านี้ ถูกเล่าต่อซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุกครั้งที่ผมได้ยิน กลับเป็นสิ่งที่ต่อยอดให้ความคิดผมคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ผมนึกไปถึงฉากหนึ่งที่สตี๊ฟ จ๊อบ CEO ผู้ล่วงลับแห่ง Apple เจรจาพาทีเพื่อชักชวนให้ จอห์น สคัลลี่ ฝ่ายการตลาดขั้นเทพของโคคา โคล่า มาร่วมผลิกประวัติศาสตร์กับจ๊อบ ประโยคสั้นๆที่ตราตรึงใจที่ผมยกให้เป็นวาทะการเจรจาขั้นเทพที่จ๊อบ บอกกับสคัลลี่ว่า “คุณจะเป็นคนขายน้ำหวานไปจนตาย หรือจะมาร่วมเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยศาสตร์กับผม” (ประโยคประมาณนี้นะครับ อาจจะไม่แป๊ะๆ) เป็นผมได้ฟังแบบนีถึงกับขนลุก และคงมีทางเลือกเดียวกับคำตอบที่ใช่ คือ ผมเลือกข้อหลัง และสคัลลี่ก็เลือกแบบนั้นเช่นกัน
หากเรากำลังทำอาชีพอะไรที่เราทำอยู่ เช่น เรากำลังกวาดขยะ เราจะทำให้ดีที่สุดเพราะนั้นจะทำให้บ้านเมืองเราน่าอยู่ ผู้คนอารมณ์ดีขึ้น และสุขภาพผลเมืองจะดีเพราะเรามีส่วนร่วม,หากเราเป็นเด็กเสริ์ฟร้านอาหาร เราจะทำให้ดีที่สุด เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับร้านอาหาร จะมีผลให้คนอยากเข้าและร้านจะเติบโตเจริญรุ่งเรืองจนต้องขยายสาขา ซึ่งในที่่สุดเจ้านายก็จะเห็นความดีของเรา ยกร้านให้เราบริหารต่อไปได้ หรือแม้กระทั่งเราทำงานเก็บขยะ เราทำให้ดีที่สุด เพราะสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นทำให้ลดโลกร้อนและโลกน่าอยู่ยิ่งขึ้น
เกริ่นนำมาซะยาวแต่จำเป็นจริงๆที่ต้องเล่าเรื่องสำคัญๆเหล่านั้น เพื่อที่จะบอกกล่าวเล่ากันต่อให้ชัดเจนว่า “ผู้นำ คือ ผู้ที่ทำสิ่งที่ตัวเองมองเห็นในอนาคต ให้ผู้อื่นเห็นตามจนต้องร้อง “ว้าวววววว ผมเอาด้วย” และนำพาคนผู้นั้นไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด”
กรณีศึกษาใกล้ตัวที่ผมมีความศรัทธาต่อตัวท่านด้วยดีเสมอมา คือ กรณีศึกษาของท่านประธานเค่งฮั้ว แซ่อื้อ ท่านประธานใหญ่ผู้ใจดีแห่งบริษัทรมิตา เฮลธ์แอนด์ บิ้วตี้ เมื่อวันก่อนที่ได้มีโอกาสรับฟังแนวคิดดีๆจากท่าน เป็นช่วงเวลาๆสั้นๆแต่นั้น คือ แรงบันดาลใจอย่างดีที่เราจะก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายต่อไป
ภาระอันหนักอึ้งกับ 3 บริษัททางด้านอิเลกโทรนิกส์ ยังไม่เพียงพอต่อความท้าทายอันแรงกล้า ท่านใช้พลังแรงใจที่มีผลักดันให้เกิดบริษัทที่ 4 คือ รมิตา จนดำเนินการย่างเข้าสู่ปีที่ 7 กับเกือบ 30 สาขาทั่วประเทศ และกระจายสาขาออกสู่ประเทศต่างๆในอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา เวียตนาม พม่า มาเลเซีย ระหว่างทางย่อมไม่รายรื่นโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปครับ ปัญหาต่างๆรุมเร้ามากมายหลายทาง ไหนจะรมิตา ไหนจะอีกทั้ง 3 บริษัท ถาโถมเข้ามา โดยเฉพาะช่วงสภาวะบ้านเมืองมีปัญหา ถามท่านประธานทุกครั้งว่า “ไหวมั๊ย?” ท่านจะตอบด้วยดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวังว่า “ไหว” อยู่เสมอ
วันนั้นท่านประธานยอมรับว่า ที่ผ่านมาปัญหาเยอะจริง หนักจริง แต่สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจสุดๆคือ คำที่ท่านกล่าวว่า “ตั้งแต่ผมเปิดบริษัทรมิตามา จนมาถึงปัจจุบัน ผมมีความสุขทุกวัน และสิ่งที่ผมมองเห็นก่อนจะเปิดรมิตา คือ ทุกคนที่ตั้งใจเข้ามาสู่รมิตาสามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งหมด ชีวิตทุกคนดีขึ้นได้ วันนั้นยิ่งจะเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด” ผมมองว่าประโยคนี้เป็นยิ่งกว่าพันธสัญญาที่ระดับผู้นำอย่างท่านประธานฯ มองเห็นมากกว่ายอดผลประกอบการของบริษัท ท่านมองเห็นบริษัทแห่งความสุขที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างชัดเจน
จากกรณีศึกษาระดับโลกสู่กรณีศึกษาที่ใกล้ตัว ทำให้ผมต้องย้อนกลับมาทบทวนถึงสิ่งที่เรามองเห็น ในเรื่องของเป้าหมายในอนาคต หรือในแง่ของวิสัยทัศน์ของตัวเอง เพื่อที่จะมาปรับวิธีการและภาพให้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อที่เราจะก้าวไปสู่ผู้นำแห่งความสำเร็จที่แท้จริง เ
รามองเห็นอะไร?
ขอบคุณครูทุกคนที่อยู่รอบตัวครับ