ในโลกที่ไม่มีความบังเอิญ
เริ่มต้นจากในหัว ถ้ามองว่าในโลกนี้เต็มไปด้วยความบังเอิญ เราก็เป็นคนที่รอไปเรื่อย ตั้งรับแบบไร้จุดหมาย แต่หากในหัวมองว่า ในโลกล้วนแล้วแต่เกิดจากความไม่บังเอิญ ทุกอย่างเกิดจากเหตุทั้งนั้น เราจะรีบลุกแล้วลงมือทำทันที จริงไหม ?
2 โลกที่แตกต่างและเรามักพบเจอมันในมิติคู่ขนานอยู่เสมอ นั้นคือโลกที่เต็มไปด้วยความบังเอิญและโลกที่ไม่มีความบังเอิญ
โลกแห่งความบังเอิญ
บังเอิญเจอคนที่ถูกใจ / บังเอิญรวย / บังเอิญได้งานทำ / บังเอิญโน่นนั้นนี้
เพราะคิดแบบนี้ตูดจึงติดอยู่กับเก้าอี้อยู่ตลอดเวลา จมจ่อมในโลกเชิงรับ รอให้ความบังเอิญมาป้อนความสำเร็จถึงที่
โลกแห่งความบังเอิญและโลกแห่งฝันลมๆแล้งๆดูผิวๆมันคล้ายกันมากๆ ไม่เชื่อลองลืมตาดูกว้างๆสิครับ
โลกแห่งความบังเอิญมีอาณาเขตกว้างขึ้นทุกวัน เพราะเรามักปล่อยปละให้ความบังเอิญมันกระทำกับเรามากเกินไป เรายินยอมที่จะศิโรราบให้ความบังเอิญและปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม ไร้ทิศทาง ไร้จุดสิ้นสุด ล่องลอยไปเรื่อย ตกที่ไหนค่อยว่ากัน ดูชีวิตนี้มันน่าสงสารเป็นยิ่งนัก
โลกที่ไม่มีความบังเอิญ
พุทธพจน์สุดคลาสสิคที่ผมชอบมากๆประโยคหนึ่ง คือ “ทุกอย่างมีเหตุเป็นแดนเกิด”
ไม่มีเงิน ไม่มีคนดีๆ ไม่มีความโชคดี ลอยมาจากฟากฟ้าทะเลไกล
เราต้องลุกออกจากโลกแห่งความบังเอิญ ลงมือทำสร้างเหตุแบบรัวๆ ให้มากและเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเข้าไว้ นั้นคือหน้าที่ของชีวิตครับ เมื่อเหตุมันเกิดขึ้นจากเรา มีหรือที่ผลจะไม่มีตามมา
ลืมความบังเอิญไปได้เลย อย่าปล่อยให้ความบังเอิญมากระทำกับปัญญาของเราจนเราหมดแรง หมดหนทาง ไปต่อไม่ได้
ชวนกันก้าวขาออกจากโลกแห่งความบังเอิญ และจงเชื่อเรื่องการสร้างเหตุและมุ่งสร้างเหตุให้ถึงพร้อม แล้วลงมือทำเดี๋ยวนี้เลย