blog

Lost in Generation หลงในวัยและกับดักเจเนอเรชัน

เมื่อแต่ละวัยต่าง “ถูกใจตัวเอง”

ในสังคมยุคปัจจุบัน ความขัดแย้งระหว่างวัยดูจะยิ่งทวีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน และสังคมออนไลน์ หลายครั้งไม่ได้เกิดจากความแตกต่างในประสบการณ์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “ความหลงในวัยของตัวเอง” — ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าประสบการณ์ ความคิด และค่านิยมในวัยของตน “ดีที่สุด” จนไม่สามารถเปิดใจรับฟังหรือเข้าใจคนต่างวัยได้อย่างแท้จริง

นี่คือจุดเริ่มต้นของอาการ “Lost in Generation” หรือ “หลงทางระหว่างวัย” ที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ความเข้าใจผิด และช่องว่างที่ถ่างกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ


หลงในวัย: กับดักทางจิตวิทยาที่มองไม่เห็น

1. Ego-Centric Bias ของแต่ละวัย

มนุษย์มักประเมินคุณค่าของยุคสมัยที่ตนเติบโตขึ้นว่า “ดีกว่า” หรือ “จริงกว่า” รุ่นอื่น ตัวอย่างเช่น:

  • ผู้ใหญ่รุ่น Baby Boomer หรือ Gen X มักคิดว่าสมัยของตนมีความอดทนมากกว่า “เด็กสมัยนี้”

  • คนวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว Gen Z หรือ Alpha อาจมองว่าคนรุ่นพ่อแม่ล้าหลัง เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีหรือเสรีภาพทางความคิด

กลไกนี้ในทางจิตวิทยาถูกเรียกว่า Self-enhancement Bias และ In-group Bias ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อรักษาอัตลักษณ์และคุณค่าของกลุ่มตนเอง แต่เมื่อรุนแรงขึ้นก็จะกลายเป็นการลดทอนคุณค่าของวัยอื่นโดยไม่รู้ตัว

2. Nostalgia Trap: ความคิดถึงอดีตที่ทำให้หยุดพัฒนา

บางคนติดกับอยู่ในความรู้สึกว่า “ยุคของฉันดีที่สุด” จนปิดกั้นการเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่น:

  • ครูที่ยึดแนวการสอนแบบเดิม ไม่เปิดรับวิธีการเรียนรู้ของนักเรียนยุคใหม่

  • พ่อแม่ที่เชื่อว่า “ลูกต้องเลือกอาชีพมั่นคง” เพราะตนเติบโตมาในยุคที่ความมั่นคงคือที่สุดของความสำเร็จ

นี่คือกับดักที่ทำให้ความสัมพันธ์กับคนต่างวัยสะดุด เพราะอีกฝ่ายจะรู้สึกว่า “คุณไม่ฟังฉันเลย”

3. Fear of Irrelevance: ความกลัวว่าจะไม่สำคัญอีกต่อไป

คนบางวัย เช่น วัยกลางคนหรือสูงวัย อาจหลงติดอยู่กับบทบาทที่เคยสำคัญ และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาความสำคัญของตน เช่น:

  • ผู้บริหารที่ไม่ยอมถ่ายทอดงานให้คนรุ่นใหม่

  • ปู่ย่าตายายที่ใช้คำตำหนิซ้ำๆ กับหลานเพราะกลัวตนเองไม่มีอิทธิพล

ปัญหานี้เป็นเรื่องของ Psychological Threat to Identity — ความกลัวว่าสิ่งที่เคยเป็นจะหมดความหมาย ซึ่งจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการเข้าใจกันระหว่างวัย


ผลลัพธ์ของความ “หลงวัย”: ช่องว่างที่กลายเป็นกำแพง

การหลงในวัยของตัวเองมากเกินไปทำให้เกิดผลลัพธ์ทางสังคมหลายประการ:

  • ช่องว่างทางการสื่อสาร: แต่ละวัยพูดคนละภาษา ใช้คำคนละชุด เข้าใจบริบทกันคนละแบบ

  • ความไม่ไว้วางใจกัน: ผู้ใหญ่คิดว่าเด็กไม่เคารพ เด็กคิดว่าผู้ใหญ่ไม่ยอมฟัง

  • ขาดการถ่ายทอดที่มีประสิทธิภาพ: ความรู้จากรุ่นเก่าส่งต่อไม่ได้ และความคิดใหม่จากรุ่นใหม่ถูกปฏิเสธ

กรณีศึกษาหนึ่งจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Harvard (Williams et al., 2017) พบว่าองค์กรที่มีความเข้าใจระหว่างวัยต่ำ จะมีอัตราการลาออกของพนักงาน Gen Y และ Gen Z สูงขึ้นถึง 40% ภายใน 2 ปีแรก เพราะรู้สึกว่าองค์กรไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับแนวคิดของพวกเขา


เส้นทางออกจาก “Lost in Generation”: อยู่ร่วมอย่างเข้าใจ ไม่ใช่เปลี่ยนให้เหมือน

1. เปลี่ยนจาก “ตัดสิน” เป็น “รับฟัง”

เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้แต่ละวัยได้เล่าเรื่องของตน โดยไม่มีใครพยายามสรุปว่าใครผิดหรือถูก เช่น วงสนทนาในครอบครัว ที่พ่อแม่และลูกผลัดกันเล่าเรื่องราวในวันหนึ่งโดยไม่แทรกความคิดเห็นทันที

2. สร้าง “จุดร่วม” แทนการเน้น “ความต่าง”

หากเจาะลึกเข้าไปจะพบว่าแต่ละวัยล้วนมีความปรารถนาพื้นฐานเหมือนกัน เช่น อยากได้รับการยอมรับ อยากมีความหมาย เพียงแต่แสดงออกคนละแบบ การหาเป้าหมายร่วม เช่น การทำกิจกรรมอาสา หรือโปรเจกต์ในองค์กรร่วมกัน จะช่วยให้ความต่างกลายเป็นพลัง

3. ฝึก “Empathic Imagination”

คือการจินตนาการว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรในโลกของเขา ไม่ใช่ตัดสินจากโลกของเรา เช่น:

  • ลองนึกว่าการอยู่ในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็วของวัยรุ่นยุคดิจิทัล จะกดดันขนาดไหน

  • หรือการเป็นผู้สูงวัยที่โลกหมุนเร็วจนบางครั้งรู้สึกว่า “ฉันไม่มีที่อยู่แล้ว” จะเจ็บปวดแค่ไหน


หลงในวัยไม่ใช่ความผิด แต่คือสัญญาณให้เราเติบโต

“Lost in Generation” ไม่ได้หมายความว่าการเป็นคนในเจเนอเรชันใดเจเนอเรชันหนึ่งคือความผิด แต่คือโอกาสให้เราตระหนักว่า ทุกคนต่างมีราก มีบริบท และมีคุณค่าของตน หากเราไม่หลงติดอยู่กับวัยของตนเองจนปิดกั้นการเรียนรู้ เราจะสามารถเป็น “สะพาน” ที่เชื่อมระหว่างวัยได้ มากกว่าจะเป็น “กำแพง” ที่กั้นแยกผู้คนออกจากกัน

เพราะในท้ายที่สุด “วัย” เป็นเพียงฉลากของเวลา
แต่ “ใจ” คือสะพานของความเข้าใจไม่รู้จบ


อ้างอิง

  • Williams, K., Thomas, D., & Peters, J. (2017). Generational Divide in the Workplace: Psychological Insights and Organizational Strategies. Harvard Business Review.

  • Erikson, E. H. (1968). Identity: Youth and Crisis. New York: Norton.

  • Arnett, J. J. (2000). Emerging Adulthood: A Theory of Development from the Late Teens Through the Twenties. American Psychologist, 55(5), 469–480.

  • Schwartz, S. J., et al. (2005). Identity Development, Personality, and Well-Being in Adolescence and Emerging Adulthood: Theory, Research, and Recent Advances. Journal of Adolescent Research, 20(5), 454–475.

tonypuy

รักเรียนรู้ กู้บ้างพอเป็น drive รักท่วงทำนองดนตรี ครีเอตคอนเทนต์ไปเรื่อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.